หอประชุมทีโอที 25 ก.ค.-นายกฯ แถลง 12 นโยบายหลักรัฐบาล พร้อม 12 นโยบายเร่งด่วน เดินหน้าขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศทุกมิติ ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ภายใต้ความท้าทายจากภายในและนอกประเทศ ให้เป็นรูปธรรม ตามกฎหมาย กรอบงบประมาณ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า พร้อมรับฟังความเห็นของสมาชิกทุกประเด็น สิ่งสำคัญต้องเดินหน้าประเทศเพื่อความก้าวหน้าให้เรียบร้อย ประเทศต้องมีความสามัคคี มีความเอื้ออาทร โดยคนไทยต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมดำเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 ขณะที่พี่น้องประชาชนคนไทยต้องมีการปรับทักษะ เพื่อเป็นการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศ การดำเนินนโยบายต่าง ๆ ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ภายใต้ความท้าทายในหลายมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจโลกและปัจจัยอื่นอีกหลายประการ ทั้งการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้เราจะทำอย่างไรให้ประชาชนได้รับโอกาสและความเท่าเทียมเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ถามสมาชิกรัฐสภาว่ามีใครไม่เห็นด้วยบ้าง ขณะที่นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ทักท้วงขอให้นายกรัฐมนตรีอย่านอกประเด็น และแถลงตามเอกสาร
จากนั้นนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงนายกรัฐมนตรีผิดข้อบังคับการประชุม ว่า นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่แถลงนโยบาย ไม่ใช่การอภิปราย ซึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ทะเลาะ เดี๋ยวจะอ่านให้ฟัง ขอให้ทุกคนเปิดหนังสือตามตนไปด้วย ด้านนพ.ชลน่าน ชลแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทยประท้วงว่า นายกรัฐมนตรีต้องพูดกับประธานรัฐสภา ไม่ใช่พูดกับพี่น้องประชาชน อีกทั้งนายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจข่มขู่ หรือสั่งให้สมาชิกรัฐสภาอภิปรายได้ เพราะเป็นหน้าที่ของประธานรัฐสภา
ขณะที่นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ อนาคตใหม่ ประท้วงว่า ที่นี่รัฐสภา ไม่ใช่ค่ายทหาร ขออย่าใช้อำนาจ ทำให้ประธานรัฐสภากล่าวว่า แม้นายกรัฐมนตรีจะจำได้นโยบายทั้งหมด แต่ขอให้อ่านตามเอกสารเล่มนโยบาย
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้อ่านคำแถลงนโยบายต่อว่า ประเทศไทยในขณะนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ที่มีความซับซ้อนสูงทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ การเข้าบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลในครั้งนี้ จึงเป็นช่วงที่สถานการณ์ต่าง ๆ มีความไม่แน่นอนและอยู่ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน ต้องต่อสู้กับปัญหาใหม่ ทั้งความยากจน ความเหลื่อมล้ำในหลายรูปแบบ แม้แต่การต่อสู้กับความไม่สงบภายในประเทศในอดีต มาสู่การต่อสู้กับภัยคุกคามที่ไม่มีแบบแผนในปัจจุบัน ทั้งเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติ เครือข่ายการก่อการร้ายข้ามชาติโรคระบาด และสงครามไซเบอร์
“รัฐบาลนี้มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประเทศให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง แก้ไขปัญหาปากท้องและสร้างรายได้ให้ประชาชนให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ให้คนไทยมีความพร้อมทั้งในด้านหลักคิด คุณธรรม และจริยธรรม และมีศักยภาพที่จะดำเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 เราจะร่วมกันสร้าง “การเติบโตเชิงคุณภาพ” ไม่ใช่ “การเติบโตเชิงปริมาณ” เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและแก้ไขปัญหาที่ยังมีอยู่ภายในประเทศ ส่งเสริมให้ไทยมีบทบาทมากขึ้นในประชาคมโลกผ่านการพัฒนาบนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน อันจะทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การบริหารราชการแผ่นดินในช่วง 4 ปีของรัฐบาลจะยึดหลักการสำคัญ 4 ประการ ได้แก่1.น้อมนำพระปฐมบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นหลักในการบริหารประเทศ 2.ยึดมั่นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 3.พัฒนาประเทศตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 4.บูรณาการการทำงานระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคีการพัฒนาต่าง ๆ ในลักษณะประชารัฐเพื่อพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับนโยบายของรัฐบาล ประกอบด้วย นโยบายหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง โดยนโยบายหลัก 12 ด้าน ได้แก่ 1.การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.การสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ และความสงบสุขของประเทศ 3.การทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม 4.การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก 5.การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย โดยจะดำเนินนโยบายการเงินการคลัง ให้สามารถตอบสนองต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลก รวมถึงจะติดตามกำกับดูแลให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินการตามกฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด และพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศและสามารถรองรับการขนส่งและการเดินทางต่อเนื่องอย่างไร้รอยต่อ
“6. การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งใหม่ในภูมิภาค 7.การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก 8.การปฏิรูปกระบวนการเรียนและการพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย 9.การพัฒนาระบบสาธารณสุขและหลักประกันทางสังคม 10.การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน 11.การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ และ 12.การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และกระบวนการยุติธรรม” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับนโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง ได้แก่ 1.การแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน 2.การปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน 3.มาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก 4.การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม 5.การยกระดับศักยภาพของแรงงาน 6.การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต 7. การเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 8.การแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ ทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการประจำ 9.การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ 10.การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน 11.การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย และ 12.การสนับสนุนให้มีการศึกษา การรับฟังความเห็นของประชาชน และการดำเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
“รัฐบาลจะมุ่งมั่นดำเนินงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว มีความถูกต้องสอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และให้ความสำคัญกับกรอบวินัยด้านการเงินการคลังของประเทศ ซึ่งการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ในระยะยาวจำเป็นต้องใช้งบประมาณ ซึ่งคาดว่างบประมาณประจำปีจะอยู่ในระดับเฉลี่ยประมาณ 3.3 ล้านล้านบาทต่อปี ในขณะที่รายได้จากภาษีของประเทศมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเร่งรัดพัฒนาระบบจัดเก็บภาษีของรัฐให้มีความครอบคลุมมากขึ้น มุ่งเน้นการขยายฐานภาษีและปรับโครงสร้างภาษีให้มีความเป็นธรรม รวมทั้งเร่งส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แผนงานหรือโครงการใดที่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและเป็นการวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว รัฐบาลจะพิจารณาใช้จ่ายจากแหล่งเงินนอกงบประมาณ ทั้งในส่วนของเงินกู้และการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศ รวมทั้งพิจารณาใช้เครื่องมือทางการเงินสมัยใหม่ อาทิกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทยในโครงการที่มีความคุ้มค่าทางการเงิน เพื่อลดภาระการลงทุนจากงบประมาณแผ่นดินและการกู้เงิน ซึ่งการใช้เครื่องมือทางการเงินดังกล่าว นอกจากจะช่วยลดภาระด้านการคลังของประเทศแล้วจะช่วยให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานของประเทศได้อีกด้วย ทั้งนี้การใช้จ่ายของรัฐบาลเพื่อดำเนินการตามนโยบายนั้น รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับกรอบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด โปร่งใส และตรวจสอบได้เพื่อให้ฐานะการเงินการคลังของประเทศมีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ
“ช่วงการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลจะยึดกรอบของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งจะดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมตามความเร่งด่วนและทรัพยากรที่มีอยู่ หลังแถลงนโยบายเสร็จสิ้นแล้ว รัฐบาลจะซักซ้อมความเข้าใจกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้เกิดการถ่ายทอดนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม นอกจากนี้รัฐบาลจะดำเนินการจัดทำร่างกฎหมายที่จำเป็นต้องตราขึ้นเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามนโยบาย เพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ประชาชน และขับเคลื่อนการยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อเป็นฐานสำคัญในการก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วบนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระยะ 20 ปี ข้างหน้าตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติต่อไป” นายกรัฐมนตรี กล่าว.-สำนักข่าวไทย
