สำนักข่าวไทย 19 ก.ค.-กรมควบคุมโรค ยังไม่ห้ามการเดินทางไปคองโก หลัง WHO ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ให้เฝ้าระวังสังเกตตนเองหากมีไข้
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้วิกฤตการณ์อีโบลา ซึ่งแพร่ระบาดในสาธารณรัฐคองโก จัดเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (PHEIC) หลังมีผู้เสียชีวิตกว่า 1,600 คน ว่า สาเหตุที่องค์การอนามัยโลกออกประกาศดังกล่าว เนื่องจากพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศคองโกต่อเนื่อง ตั้งแต่ส.ค.2561 กระทั่งล่าสุดพบว่า มีผู้ป่วยกระจายไปยังเมืองโกมา ซึ่งเป็นเมืองหลักที่มีประชากรจำนวนประมาณ 2 ล้านคน เป็นเมืองที่มีเขตแดนติดกับประเทศอื่น และมีสนามบิน
ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงที่โรคจะกระจายออกนอกประเทศ องค์การอนามัยโลกจึงได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ เพื่อให้สามารถดำเนินการใน 2 ส่วน คือ 1.เพื่อจัดการความเสี่ยงด้านสาธารณสุข ไม่ให้โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาลุกลามไปยังประเทศอื่น และ 2.เพื่อให้สามารถระดมความช่วยเหลือระหว่างประเทศไปยังพื้นที่ระบาด
อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม การประกาศดังกล่าวไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดการกีดกันการเดินทาง แต่เพื่อให้มีการตระหนักและผู้ป่วยจะได้ไม่หลบอยู่ใต้ดิน ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียต่อการควบคุมโรค และการประกาศครั้งนี้ ความเสี่ยงยังอยู่ในพื้นที่คองโก ยังไม่ได้เป็นความเสี่ยงระดับโลก เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ยังคงมีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และมีการรายงานเข้าสู่คณะกรรม การควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ ทุกครั้งจะมีการประเมินความเสี่ยงยังไม่ถึงขั้นต้องประกาศในนามประเทศไทย
นพ.สุวรรณชัย กล่าวต่อว่า ในส่วนของไทยเองก็ต้องยกระดับความเข้มข้นมาตรการเดิมที่เคยปฏิบัติมาในสองมิติ ในส่วนของผู้ที่เดินทางจากประเทศที่มีการระบาด จะต้องมีการตรวจสอบประวัติอย่างเข้มงวด โดยร่วมมือกับสายการบิน ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และท่าอากาศยาน ต้องคัดกรองผู้ที่เดินทางเข้ามาว่ามีไข้ต้องสงสัยอย่างไรหรือไม่ ระหว่างที่พำนักอยู่ในประเทศไทย ต้องสามารถติดตามและตรวจสอบได้ โดยเฉพาะในช่วงระยะฟักตัวของโรค ซึ่งที่ผ่านมามีผู้เดินทางมาจากคองโกนับตั้งแต่ ส.ค.2561 ถึงปัจจุบัน มีจำนวน 664 คน ตรวจสอบไม่พบผู้ป่วยหรือผู้ต้องสงสัย
ส่วนผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศเสี่ยงหรือมีการระบาด จะต้องทราบถึงแนวทางการปฏิบัติตัว ทั้งแง่ของการป้องกันโรค การติดต่อของโรค อาการต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า มีจำนวนไม่มาก .-สำนักข่าวไทย