อดีตโฆษก กรธ.ยืนยัน รธน. 60 ก้าวหน้าในหลายเรื่อง

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 9 ก.ค.-อดีตโฆษก กรธ.ยืนยันรัฐธรรมนูญ 60 ก้าวหน้าในหลายเรื่อง เชื่อจะทำให้ประเทศเดินหน้า แต่นักวิชาการติงระบบเลือกตั้งมีปัญหา ทำให้ผู้สมัครและพรรคการเมืองเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว แนะปรับแก้หากใช้แล้วส่วนไหนมีปัญหา ส่วน “อภิสิทธิ์” มอง รธน. 60 ทำให้การเมืองไทยล้าหลัง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานเสวนาวิชาการ เรื่อง “การเมืองไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560” โดยมีนายอุดม รัฐอมฤต อดีตโฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) นายเจษฎ์ โทณะวณิก อดีตที่ปรึกษา กรธ. นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

นายอุดม กล่าวว่า ในรัฐธรรมนูญปี 60 มีความก้าวหน้าในหลายเรื่อง มีความเข้มงวดไม่ให้คนไม่ดีเข้าสูระบบการเมือง และออกแบบให้คนที่เข้ามาแล้วไม่สามารถทำสิ่งที่ไม่ดีได้ การตรวจสอบจึงเป็นไปอย่างเข้มข้น และเป็นฉบับเดียวที่มีเรื่องการปฏิรูปประเทศ และมีการพัฒนาระบบการศึกษา ที่กำหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้บอกว่าจะต้องมีนักการเมืองที่ดีเท่านั้นที่จะมาทำให้ประเทศพัฒนา แต่เรามีความเชื่อในเบื้องต้นว่าถ้าระบบดี ประชาชนเข้าใจ ระบบการเมืองที่จะเปลี่ยนแปลงก็น่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ซึ่งจากประสบการณ์ร่างรัฐธรรมนูญในประเทศต่าง ๆ มีทั้งสำเร็จและล้มเหลว ทั้งนี้ตนไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งคือประชาธิปไตย  แต่เป็นการให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม เพราะตราบใดที่มีการเลือกตั้งที่ใช้เงินและไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม การเมืองก็ยังไม่ก้าวหน้า


“รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้ปิดห้องร่าง ระบบการเลือกตั้งที่ออกแบบมา ไม่มีใครเดาออก มีแต่ผู้เล่นที่เดาออก จึงมีการแตกแบงค์ ผมยืนยันว่าคนที่ออกแบบระบบไม่ได้คิดถึงพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่เห็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 40 , 50 คนที่ได้อำนาจแล้วเอามาอ้างว่าประชาชนเลือกมา แต่ท้ายสุด ไม่ว่าวันนี้ให้ตัวแทนประชาชนร่าง หรืออาจารย์ร่าง ก็มีคนไม่ชอบเสมอ เพราะมีจุดเน้นจุดต่างที่แตกต่างกัน ทุกคนมีส่วนทำให้รัฐธรรมนูญนี้ออกมา” นายอุดม กล่าว

นายปริญญา กล่าวว่า ผลจากรัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้มีผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตเพิ่มมากเป็น 11,128 คน หรือ 5 เท่าตัว มีพรรคการเมืองส่งผู้สมัครเพิ่มเป็นเท่าตัว ประชาชนถูกบังคับให้เลือกระหว่างตัวผู้สมัครและพรรค ด้วยบัตรเลือกตั้งใบเดียว และเมื่อมีผู้สมัครมาก ทำให้ประชาชนสับสน ส่งผลให้มีบัตรเสียตามมาจำนวนมาก ต้องใช้งบประมาณเลือกตั้งมากขึ้น และเมื่อเลือกตั้งเสร็จ ประกาศผลคะแนนแล้วยังไม่สามารถทราบจำนวน ส.ส. เนื่องจากสูตรคำนวณต้องตีความ กลายเป็นการเลือกตั้งที่เสร็จไปนานแล้วยังไม่ทราบผลการเลือกตั้ง และยังไม่ได้พูดถึงกรณีที่มีใบเหลือง ใบแดง ใบส้ม ใบดำ ตามมาอีก จะทำให้ตัวเลข ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่นิ่ง เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาที่มีการเลือกตั้งใหม่ และผลจากสูตรคำนวณทำให้มี ส.ส.จากหลายพรรค และกลายเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่มีพรรคการเมืองมากที่สุด ตั้งคณะรัฐมนตรีช้าที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้แทนปวงชน ในส่วนของ ส.ว.ที่ชุดแรกมาจาก คสช. และ ส.ว.ยังมีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีใน 5 ปีแรก จึงขอเรียกระบบการเมืองไทยในช่วง 5 ปีแรกคือระบบไฮบริด คือมาจาก 2 ระบบ ส.ส.ที่ประชาชนเลือก และ ส.ว.ที่มาจาก คสช.ตั้ง ซึ่งขณะนี้ยังมีประเด็นว่าหัวหน้า คสช.เป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่

“ขอตั้งข้อสังเกตว่าผลจากรัฐธรรมนูญ ระบุให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ให้มาจากความเห็นชอบของ ส.ว. ซึ่ง 5 ปีแรก ส.ว.มาจากการแต่งตั้งของ คสช. จึงมีคำถามว่าจะมีการตรวจสอบคนที่ตั้งตัวเองหรือไม่ และยังเห็นว่ารัฐบาลฉบับนี้ให้ คสช.อยู่ต่อไปจนกว่า ครม.ที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้าทำหน้าที่ จึงเป็นที่มาที่นายกรัฐมนตรีไม่รีบตั้ง ครม. และยังคงมีมาตรา 44 ใช้อยู่ ดังนั้นเราอยากเห็นประชาธิปไตยก้าวไปทุ่งไหน ก็ขึ้นกับความประสงค์ของคนไทย ถ้าจะให้เดินหน้าไปสู่การปกครองที่มีประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ  ทุกอย่างก็มีกติกามาแล้ว หากสิ่งใดใช้แล้วไม่ดี ก็ควรแก้ไขปรับเปลี่ยนไป” นายปริญญา กล่าว


ด้านนายเจษฎ์ กล่าวว่า หากมาถามความชอบธรรม เพราะคนที่ยกร่างก็มาจากการแต่งตั้งโดย คสช. ซึ่งทุกคนมีความตั้งใจดีต่อประเทศชาติ แต่สิ่งที่น่าเสียดาย คือ ไม่ได้มีการอธิบายในรายละเอียดของรัฐธรรมนูญ กฎหมายประกอบ โดยเฉพาะเรื่องวิธีการคำนวณ ส.ส. และเห็นว่าสิ่งสำคัญที่จะทำให้การเมืองเป็นอย่างไร คือ ผู้เล่นควรเป็นผู้เล่น แต่รัฐธรรมนูญปี 60 กลับมีกรรมการลงมาเป็นผู้เล่นด้วย สุดท้ายเชื่อว่าคงต้องมีการแก้ไข และหวังให้มีการแก้ในรัฐสภา ไม่ใช่การฉีกรัฐธรรมนูญ โดยการรัฐประหาร

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากจะพูดด้วยความเป็นธรรม ความก้าวหน้าของการเมือง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว แต่กฎหมายลูก สูตรคำนวณ ส.ส. ผู้เล่น คือนักการเมือง หรือกรรมการ ล้วนมีผลต่อความก้าวหน้าการเมืองไทย แต่สิ่งสำคัญคือ ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมให้มากที่สุด และต้องทำให้ตัวแทนประชาชนที่มาใช้อำนาจ ต้องใช้อำนาจที่สุจริต ดังนั้นการเมืองจะก้าวหน้าแค่ไหน ต้องนำเรื่องดังกล่าวมาวัดว่าประชาชนมีส่วนร่วมมากน้อยแค่ไหน และตรวจสอบการใช้อำนาจได้อย่างไร แต่ต้องยอมรับว่าหากมองมุมนี้ ถือว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 ทำให้การเมืองถอยหลัง แม้จะมีบทบัญญัติเรื่องการปฏิรูปมาก ไม่ได้ส่งผลให้เกิดการปฏิรูป และเมื่อบวกกับยุทธศาสตร์ชาติ จะเป็นการทำให้เพิ่มกลไกในราชการมากขึ้น แต่ไม่มีการปฏิรูปที่แท้จริง จะเห็นได้ว่าการปฏิรูปการศึกษาและตำรวจ มีการตั้งคณะกรรมการแยกออกมา แต่กลับไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม จึงคาดหวังได้ยาก อีกทั้งผลที่ออกมาเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าเป็นผลพวงจากกติกาที่ตั้งใจออกแบบมาให้เป็นเช่นนี้ เพราะเชื่อว่าหากไม่มีวุฒิสภามามีส่วนร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี คงไม่มีพรรคการเมืองเข้ามาเป็นรัฐบาลถึง 19 พรรค จึงเถียงไม่ได้ว่ากติกาไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้เป็นเช่นนี้ และขอยืนยันว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีการใช้เงินและอำนาจรัฐในทางไม่ชอบมากที่สุด

“ผมผ่านการเลือกตั้งมาหลายรอบ ยืนยันว่ามีการใช้เงินไม่ต่างจากปี 2548 โจ่งแจ้ง ถ้าไม่มีการรู้กันของเจ้าหน้าที่ รวมถึงมีการใช้อำนาจรัฐ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผลเลือกตั้ง ดังนั้นปัญหาไม่ใช่เพียงแต่อออกมาเอื้อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่พฤติกรรมยังตอกย้ำอีก” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ต่างจากฉบับอื่น ในเรื่องการยากที่จะแก้ไข ให้เดินไปข้างหน้าได้ เพราะต้องได้เสียง ส.ว. 1 ใน 3  จึงมองไม่เห็นว่าจะได้เสียงมาจากไหน โดยเฉพาะเรื่องการลดอำนาจของ ส.ว. และหากปล่อยให้รัฐธรรมนูญเดินไปเช่นนี้ โดยผู้ที่ได้อำนาจใช้เพื่อตัวเอง จะทำให้เกิดปัญหาสังคมไม่ยอมรับ และหากเป็นเช่นนี้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ใช่ฉบับสุดท้ายของไทยแน่นอน

“หากฝืนเจตนารมณ์ของประชาชนในการที่จะเป็นเจ้าของอำนาจอย่างเต็มที่ จะมีความขัดแย้งในสังคมเกิดขึ้น ดังนั้นต้องช่วยกันสร้างแรงกดดันผู้มีอำนาจช่วยคลายเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้า” นายอภิสิทธิ์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

“ลุงพล” นอนคุกยาว ศาลไม่ให้ประกันตัว เกรงหลบหนี

14 ส.ค. – ศาลฎีกายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ ชี้เป็นคดีร้ายแรง เกรงจะหลบหนี ส่งผลให้ลุงพลต้องนอนคุกระหว่างฎีกา นายประยุทธ เพชรคุณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 4 กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพิ่มโทษ “ลุงพล” ในคดีฆ่าเด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี รวมเป็น 26 ปี เมื่อวานนี้ ลุงพลยื่นประกันตัวและศาลจังหวัดมุกดาหารส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา เรื่องการปล่อยชั่วคราว โดยวันนี้ศาลฎีกา ได้มีคำสั่งออกมาว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อสังคมเป็นการลงโทษสถานหนัก ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษให้จำคุก 26 ปี และเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา ยกคำร้องการประกันตัว ส่งผลให้จำเลยต้องคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างฎีกา ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.) เจ้าหน้าที่จะนำตัวลุงพลไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดนครพนม เนื่องจากโทษจำคุกสูง.-สำนักข่าวไทย

บุกชิงทอง

ควงปืนชิงทองกลางห้างดังย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท ขี่ จยย.หนี

สมุทรปราการ 14 ส.ค. – คนร้ายสวมชุดไรเดอร์ควงปืนจี้ชิงทอง ร้านทองกลางห้าง ย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท มูลค่ากว่า 8 ล้านบาท ก่อนขี่จักรยานยนต์หลบหนี ตำรวจเร่งล่าตัว เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ เกิดเหตุอุกอาจภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านบางบ่อ จ.สมุทรปราการ คนร้ายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดไรเดอร์ ใส่หมวกกันน็อกเต็มใบ สะพายกระเป๋าข้าง บุกเข้าไปในร้านทองพร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่พนักงาน กวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักรวมราว 163 บาท หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เอ็นแม็ก ที่จอดอยู่ด้านหน้า ขี่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง ให้ข้อมูลว่า เห็นคนร้ายเดินเข้ามา จึงบอกให้ถอดหมวกกันน็อก แต่คนร้ายไม่สนใจ ก่อนบุกเข้าไปก่อเหตุในร้านทอง พนักงานชายร้านทอง เล่าว่า ผู้ก่อเหตุปีนเข้ามาแล้วพูดว่า ‘หยิบทองมา’ จึงสั่งให้น้องพนักงานหมอบลงเพื่อความปลอดภัย เพราะเห็นว่าคนร้ายมีอาวุธปืน และไม่เคยเห็นหน้าของคนร้ายมาก่อน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และตำรวจ สภ.บางบ่อ พร้อมผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุ เร่งไล่ล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป. – […]

เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด

กทม.14 ส.ค.- เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด อ้างอิงเหตุการณ์คลิปเสียง และพฤติการณ์ที่นิ่งเฉย ไม่กำหนดมาตรการหรือความชัดเจนตอบโต้กัมพูชาในช่วงปะทะ ไล่เลียงตั้งแต่กัมพูชารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย 200 เมตร จนถึงวันปล่อยคลิปเสียง 18 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำร้องของ 36 สว. ต่อกรณีคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่ศาลนัดวินิจฉัยคำร้องในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ซึ่งในคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบกับมาตรา 160 (4)(5) ในเนื้อหาคำร้องอ้างอิงถึงคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่มีการเอ่ยพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 แม้นายกรัฐมนตรีพยายามแถลงข่าวชี้แจงกรณีคลิปเสียง แต่สมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงเช่นนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีย่อมพยายามจะต้องหาข้อแก้ตัวอย่างไรก็ได้ โดยสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า หากนายกรัฐมนตรีมีเจตนาเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติจริง นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักและมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใส ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ประการสำคัญ […]

“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ชายแดนสันติ

จีน 15 ส.ค.-“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ปัญหาชายแดนอย่างสันติ พร้อมขอบคุณที่เห็นความจำเป็นในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เห็นพ้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอบรับคำเชิญของ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ในการเข้าร่วมจิบน้ำชาและหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ไทย และกัมพูชา ในห้วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong – Lancang Cooperation) หรือ MLC ครั้งที่ 10 ณ เมืองอันหนิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายมาริษ ได้แสดงความขอบคุณต่อบทบาทที่สร้างสรรค์ของจีน ในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างสันติ ผ่านกลไกทวิภาคีต่างๆ และการบังคับใช้ให้เกิดการดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยได้รับการสนับสนุนของอาเซียน พร้อมยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วน ที่ไทย-กัมพูชา ต้องร่วมมือกันในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันถึงความจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล เนื่องจากเป็นก้าวสำคัญในการลดความตึงเครียด และฟื้นฟูความเป็นปกติสุขในพื้นที่ชายแดน นอกจากนี้ นายมาริษ ยังได้กล่าวขอขอบคุณ นายหวัง อี้ […]