หอประชุมทีโอที 27 มิ.ย.-นพ.ระวีเตรียมยื่นหนังสือถึงนายกฯ ขอชะลอตัดสินใจต่ออายุสัมปทานเอกชน 30 ปีแลกยุติข้อพิพาทค่าโง่ทางด่วน ชี้ กทพ.เสียประโยชน์กว่า 3 แสนล้านบาท วอนรอตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาสัปดาห์หน้า ให้สภาร่วมตัดสินใจ ด้าน “มงคลกิตติ์” ขู่ หากดึงดันเดินหน้า จะฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตยก ครม.
นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่พร้อมด้วยนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศิวิไลย์ นายสุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ และนายปรีดา บุญเพลิง หัวหน้าพรรคครูไทยร่วมกันแถลงเหตุผลที่ไม่เสนอให้เลื่อนญัตติตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากรณีการต่อสัญญาสัมปทานให้บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด มหาชน หรือกรรมาธิการวิสามัญศึกษาค่าโง่ทางด่วน เพื่อศึกษากรณีการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะต่ออายุสัมปทานให้กับบริษัทเอกชน 30 ปี แลกกับการยุติข้อพิพาทในคดีต่าง ๆ ว่า เกรงว่าหากเลื่อนญัตติขึ้นมาพิจารณาก่อน อาจมีปัญหาองค์ประชุมไม่ครบ จนทำให้ญัตติตกไป ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ประสานงานวิปรัฐบาลแล้ว แต่เนื่องจากเป็นเรื่องที่ไม่ได้ประสานล่วงหน้า ทำให้ ส.ส.หลายคนลงพื้นที่ต่างจังหวัดไปแล้ว
“เพื่อรักษาผลประโยชน์ประชาชน จะยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ชะลอการตัดสินใจเรื่องดังกล่าวออกไปก่อน จนกว่าสภาจะตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาเรื่องนี้ในวันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม 2562 ซึ่งหากตั้งกรรมาธิการฯ จะใช้เวลาศึกษาเพียง 45 วัน และหากผลการศึกษาพบว่าการต่ออายุสัมปทานได้ประโยชน์มากกว่าก็จะยอมรับ แต่ในขณะนี้มีตัวเลขชัดเจนว่าหากไม่ต่ออายุสัมปทานให้เอกชน 30 ปี การทางพิเศษฯจะมีรายได้กว่า 7 แสนล้านบาท แต่ถ้าต่ออายุสัมปทานรายได้การทางพิเศษจะเหลือเพียงแค่ 3-4 แสนล้านบาทเท่านั้น” นพ.ระวี กล่าว
ด้านนายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ปัจจุบันไม่ควรตัดสินใจเรื่องที่อาจทำให้ประชาชนเสียประโยชน์ หากยังดึงดันเดินหน้าต่อโดยไม่รอให้สภามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ จะไปร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีค่าโง่ทางด่วนจำนวน 1.37 แสนล้าน เป็นค่าโง่ทางด่วนที่สูงที่สุดในประเทศไทยตั้งแต่เคยมีมา ซึ่งทางบอร์ดการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) ได้ตกลงกับบริษัทเอกชนที่จะต่ออายุสัมปทานทางด่วนออกไปอีก 30 ปี เพื่อแลกกับการที่จะไม่ต้องจ่ายค่าโง่ 1.37 ล้านบาท ต่อมาบอร์ด กทพ.ได้ส่งร่างสัญญาที่ทำไว้กับบริษัทเอกชนไปให้อัยการสูงสุดพิจารณา และวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา อัยการสูงสุดได้ส่งหนังสือตอบกลับมายังบอร์ด กทพ.ว่าสามารถส่งร่างสัญญาฉบับนี้ให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติการเซ็นสัญญาต่อไป.-สำนักข่าวไทย
