มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 14 มิ.ย.-รัฐศาสตร์ มธ. จัดเสวนา “ทิศทางการเมืองไทยภายใต้รัฐบาลใหม่” โดยตัวแทนพรรคฝ่ายค้านเห็นพ้อง แม้หมด คสช. แต่ยังมีร่างทรงทำงานต่อ ระบุจะเดินหน้าตรวจสอบการทำงานอย่างเข้มข้น ด้านฝ่ายรัฐบาลขอทุกฝ่ายเปิดโอกาสให้ผู้เห็นต่างแสดงความคิดเห็น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงาน 70 ปี สถาปนา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ “วิชาการเพื่อราษฎร์ ศาสตร์เพื่อประชาธิปไตย” โดยมีการจัดงานเสวนาในหัวข้อ “ทิศทางการเมืองไทยภายใต้รัฐบาลใหม่ การเมืองของความหวัง หรือ จุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งต่อไป” โดยมีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ , นางพงศ์เทพ เทพกาญจนา แกนนำพรรคเพื่อไทย , นายวิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และ นายโกวิย์ พวงงาม สมาชิกพรรคพลังท้องถิ่นไทย ร่วมเสวนา
นายธนาธร กล่าวว่า สิ่งที่เราเป็นอยู่ไม่ใช่วิกฤติครั้งใหม่ แต่เป็นวิกฤติเดิมที่มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 เป็นวิกฤติเดียวกันตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ ซึ่งใจกลางปัญหา ไม่ได้อยู่ที่บุคลิกหน้าตา หรือท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แต่อยู่ที่อำนาจในประเทศนี้เป็นของใคร 20 ปีที่ผ่านมา เรามีรัฐธรรมนูญ 5 ฉบับ เป็นการบอกว่าเราตกลงกันไม่ได้ว่าอำนาจของประเทศอยู่ที่ใคร มีฝั่งหนึ่งยืนยันหนักแน่นว่าอำนาจของประเทศนี้เป็นของประชาชน ขณะที่อีกฝั่งมีผู้สนับสนุนน้อยกว่า แต่เชื่อว่าอำนาจในประเทศนี้เป็นของอภิสิทธิชน เพียงไม่กี่คน แต่คนกลุ่มนี้มีอำนาจปืน มีรถถัง ถือตราชั่งทางกฎหมาย นี่คือปัญหาใจกลางของสังคมไทยที่ยังแก้ไม่ได้
“นี่คือการเข้าสู่เฟสใหม่ระหว่าง 2 ชุดความคิด สมรภูมิความคิดเป็นสมรภูมิเดิม แต่สมรภูมิทางการเมืองเปลี่ยนไป โดยไม่มีองค์กรที่ชื่อว่า คสช.จากการที่มีรัฐบาลใหม่ แต่ระบอบคสช.จะยังอยู่กับเรา และ 2 วันที่ผ่านมา มีการเคลื่อนตัวทางความคิดขนาดใหญ่ของสังคม จากอนุรักษนิยม มาฝั่งที่เชื่อว่าอำนาจเป็นของประชาชน เห็นได้จากพานไหว้ครู ซึ่งน่าเหลือเชื่อมากว่าการตื่นตัวทางสังคมและการเมือง ถูกปลุกขึ้นแล้ว โอกาสที่ตัดมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ ผมนึกไม่ออกเลยว่าฝ่ายที่เชื่อว่าอำนาจมาจากประชาชนจะแพ้ได้อย่างไร ทุกปีมีคนบรรลุนิติภาวะปีละ 700,000 คน ซึ่งพวกเขาแสดงให้เห็นแล้วว่า สิ่งที่เขาเห็นคืออะไร และได้แสดงออกมาแล้ว” นายธนาธร กล่าว
ด้าน นายพงศ์เทพ กล่าวว่า เมื่อจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแล้วเสร็จ ม.44 จะหมดไป แม้ คสช.จะหมดไปแล้ว แต่ร่างทรงและวิญญาณของ คสช.ยังอยู่ และพรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ จะตรวจสอบร่างทรง คสช.อย่างเข้มข้น ที่ผ่านมาเรามีข้อสงสัยไปพึ่งองค์กรอิสระก็ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ในสภาฯ ข้อสงสัยของประชาชนจะได้รับการเปิดเผย ผ่านการตั้งกระทู้ทุกสัปดาห์
“ความยุติธรรมไม่มี ความสามัคคีไม่เกิด ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดสองมาตรฐานทั้งในองค์กรอิสระและองค์กรตุลาการ ถ้ามีมาตรฐานเดียวรับรองว่าความขัดแย้งไม่เกิด อนาคตของสังคมไทย ภายใต้รัฐบาลผสม 19 พรรค แค่จัดทำนโยบายก็น่าเป็นห่วงแล้ว การทำงานต้องดูว่าจะมีเอกภาพหรือไม่” นายพงศ์เทพ กล่าว
ขณะที่นายโกวิทย์ กล่าวว่า การทำให้ประเทศเดินหน้า ต้องทำให้การจัดตั้งรัฐบาลเกิดขึ้นได้ ซึ่งการเดินหน้าไปสู่ความหวังหรือวิกฤตินั้น ต้องพิจารณาในหลายปัจจัย โดยเฉพาะเสียงสนับสนุนแต่ละฝ่ายในสภาฯ และการยอมรับความเห็นที่แตกต่างกัน , หน้าตาของคณะรัฐมนตรี ตามบุคคลที่ถูกเสนอนั้น จะได้รับการยอมรับและเชื่อถือจากประชาชนหรือไม่ โดยเฉพาะฝีมือในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รวมถึงความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่เห็นประโยชน์พรรคหรือตัวบุคคล ในลักษณะที่หลายฝ่ายมองว่าคือการถอนทุนคืน นอกจากนั้นคือนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาล ที่จะเรียกศรัทธากับประชาชนได้หรือไม่ ส่วนตัวมองว่าทางออกของวิกฤติการเมือง คือ นักการเมืองต้องร่วมมือทำงานในสภา
“พรรคพลังท้องถิ่นไทพร้อมสนับสนุนทุกฝ่าย ทุกพรรค ต่อการผลักดันการแก้ปัญหา อาทิ กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ลดการผูกขาดอำนาจรวมศูนย์ เพื่อทำให้การเมืองเป็นความหวัง แต่หากการเมืองจะเป็นวิกฤติ คือ ไม่สามารถผลักดันการแกัปัญหาเชิงนโยบายได้ ส่วนจะมีผลกระทบต่อความรู้สึกประชาชนหรือไม่ ต้องพิจารณาผลระยะยาว อยากบอกนายกฯ เหมือนกันว่าต้องมีเรื่องกระจายอำนาจเขียนไว้ในนโยบายกระจายอำนาจร่วมด้วย และต้องให้ประชาชนมีโอกาสตรวจสอบรัฐบาลได้ด้วย เพื่อให้เป็นนายกฯ ในระบอบประชาธิปไตย วางท่าทีที่ตรงกับความเป็นประชาธิปไตย” นายโกวิทย์ กล่าว
นายนายวิเชียร กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคที่เกิดขั้นมาได้เพียง 6-7 เดือนก่อนการเลือกตั้ง โดยมีความมุ่งหมายที่เกี่ยวเนื่องกับทิศทางการเมือง ประเทศไทยเป็นประเทศที่แปลก ทั้งที่มีประชาธิปไตยตั้งแต่ปี 2475 นำมาสู่การเลือกตั้ง การปฏิวัติ วนเวียนอยู่เช่นนี้ ที่สำคัญคือปี 2516 หลังมีการปฏิวัติ เรามีความรู้สึกว่า มันคือความหวังอันรุ่งโรจน์ และเป็นความเฟื่องฟูของประชาธิปไตย แต่เวลานี้หลังจากที่หยุดไป 5 ปีหลังจากการเลือกตั้ง กลับมีความรู้สึกเฟื่องฟูอีกครั้ง ขณะที่รัฐธรรมนูญปี 2560 นั้นไม่ได้ให้สิทธิสภาฯ หรือประชาชนมีอำนาจเหมือนปี 2540 แต่มีทั้งสภาฯ และองค์กรอิสระ ที่มาทำหน้าที่ตรงนี้ เป็นลูกผสมกับระบอบประธานาธิบดีไปในตัว
นายวิเชียร กล่าวอีกว่า ผลการเลือกตั้งออกมา พรรคพลังประชารัฐได้ 9 ล้านกว่าเสียง มีเพียง 5 พรรคเท่านั้นที่เกิน 1 ล้านเสียง 9 พรรคเกินแสนคะแนน แต่ไม่ถึงล้านคะแนน และมี 62 พรรคที่ได้คะแนนในการเลือกตั้ง แต่บรรยากาศการเมืองที่น่ากลัวเวลานี้ ไม่ใช่เรื่องผลการเลือกตั้ง คะแนนปริ่มน้ำ เท่ากับการโจมตีกล่าวหา แต่บรรยาการทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งนี้ดีกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะพูดใส่ร้ายกันน้อยที่สุด หลังจากนี้เป็นเรื่องของการต่อสู้กันในสภาฯ และคิดว่าสิ่งที่จะดีต่อระบบประชาธิปไตยคือการเปิดโอกาสให้ผู้ที่คิดต่างได้แสดงความคิดเห็น เรื่องความขัดแย้งไม่ได้มาจากแค่เรื่องการเมืองเท่านั้น แต่มาจากชีวิตและสังคมของคนไทย ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาไม่สามารถลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้ดี หากเรายังมีนายทุนที่เข้าถึงทรัพยากรได้มากกว่า การที่เกิดมาไม่ได้มีทุนเหมือนคนอื่น ย่อมก่อให้เกิดความคับแค้น และความเหลื่อมล้ำ ซึ่งสิ่งนี้คือต้นเหตุแห่งปัญหาที่นำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ทั้งหมด.-สำนักข่าวไทย