กรุงเทพ ฯ 22 พ.ค. – อีไอซี ธนาคารไทยพาณิชย์ ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจทั้งปีเหลือร้อยละ 3.3 พร้อมหั่นส่งออกโตต่ำกว่าร้อยละ 2.7 ผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ หรืออีไอซี ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2562 มีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 3.3 ต่ำกว่าที่เคยประมาณการไว้ที่ร้อยละ 3.6 เนื่องจากผลกระทบของสงครามการค้าและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีต่อภาคการส่งออกสินค้าของไทย ซึ่งมากกว่าที่คาดในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา และยังรวมถึงเหตุการณ์ล่าสุดด้านสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่กลับมาปะทุอีกครั้ง ส่งผลต่อการส่งออกสินค้าของไทยโดยตรง โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าส่งออกของไทยที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าจีนที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์-อุปกรณ์และส่วนประกอบ หมวดแผงวงจรไฟฟ้า ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น นอกจากนี้ สงครามการค้ายังส่งผลทำให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากความตึงเครียดด้านการค้าและการลงทุนของโลกที่เพิ่มขึ้น จึงมีแนวโน้มเป็นปัจจัยทางอ้อมที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกสินค้าของไทยได้อีกทางหนึ่ง ด้วยเหตุนี้อีไอซีจึงประเมินว่าการส่งออกไทยปีนี้ มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.7 ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าที่มีแนวโน้มชะลอมากกว่าคาดจะส่งผลต่อการลงทุนภาคเอกชนให้ขยายตัวชะลอลงบางส่วน โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวเช่นกัน อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนภาพรวมจะยังได้รับแรงสนับสนุนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยล่าสุดไตรมาส 1 การลงทุนภาครัฐด้านการก่อสร้างยังขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 4.1 เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 2.1 นอกจากนี้ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ยังอาจทำให้ความไม่แน่นอนทางการเมืองลดลงได้บางส่วน ซึ่งอาจส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการจัดตั้งรัฐบาลได้แต่ยังมีความไม่แน่นอนกับประเด็นเสถียรภาพของรัฐบาลใหม่และความสามารถในการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป
สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ คือ ความไม่แน่นอนด้านการเมืองของไทย โดยปัจจุบันจีนและสหรัฐเปิดฉากสงครามการค้ารอบใหม่และมีการโต้ตอบกันไปมา ซึ่งจะเห็นได้ว่าภาวะสงครามการค้ายังคงมีความยืดเยื้อและมีความไม่แน่นอนสูง จึงเป็นความเสี่ยงที่ต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด สำหรับความเสี่ยงภายในประเทศมีที่มาจากเสถียรภาพด้านการเมืองหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยมีโอกาสสูงที่เสียงระหว่างพรรคฝ่ายรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรจะมีจำนวนใกล้เคียงกัน ประกอบกับการที่เป็นรัฐบาลผสม จึงน่าจะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล รวมถึงประสิทธิภาพในการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจระยะข้างหน้า ซึ่งความเสี่ยงดังกล่าวอาจมีผลต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและภาคประชาชนที่อาจส่งผลต่อเนื่องถึงการชะลอการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนได้ในระยะต่อไป.-สำนักข่าวไทย