กรุงเทพฯ 22 เม.ย.-บ่นกันระงมค่าโดยสารรถสาธารณะขยับขึ้นวันนี้ แถมค่าไฟแพงเปิดแอร์บรรเทาร้อน โซเชียลแชร์บิดเบือนระบุค่าเอฟทีขึ้น 4 บาท/หน่วย รัฐมนตรีพลังงานแจงขึ้นแค่ 4 สตางค์เศษเท่านั้น
วันนี้นับเป็นวันที่เรื่องราวทางข่าวเศรษฐกิจร้อนแรงไม่แพ้อุณหภูมิอากาศที่ร้อนจะมีหลากหลายเรื่องจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น ศาลปกครองสูงสุด ได้อ่านคำพิพากษายกคำร้อง กรณีให้เพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ คดีโฮปเวลล์ และให้ กระทรวงคมนาคม โดยรฟท. ต้องจ่ายคืนเงินค่าก่อสร้างแก่บริษัทโฮปเวลล์รวม 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ภายใน 180 วัน โครงการนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2533 แต่เกิดปัญหาต้มยำกุ้งโครงการหยุดก่อสร้งปี 40-41 ทั้งโฮปเวลล์ต่างโทษกันไปมาว่าเป็นความผิดของแต่ละฝ่าย ต่างคนต่างฟ้องศาล ปี 51 อนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้กระทรวงคมนาคมต้องจ่ายค่าเสียหายให้โฮปเวลล์,ปี 2557 ศาลปกครองกลางเพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ ,โฮปเวลล์ยื่นอุทธณ์ และศาลปกครองสูงสุดก็ได้มีคำพิพากในวันนี้ ซึ่งที่ผ่านมาตอม่อโฮปเวลล์ที่ตั้งอยู่ริมถนนวิภาวดี-รังสิตเป็นเหมือนอนุสาวรีย์เตือนความจำยาวนานมาเกือบ 30 ปี แต่มาวันนี้ถูกรื้อถอนไปแล้ว เพื่อสร้างรถไฟชานเมืองสายสีแดง แต่สิ่งที่บาดลึกในวันนี้ คือคนไทยต้องจ่ายกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากโครงการโฮปเวลล์นี้เลย โดยวันพรุ่งนี้ทั้ง ครม. และบอร์ดการรถไฟก็จะมีการหารือในประเด็นแนวทางปฏิบัติ ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด
วันนี้ก็เป็นวันขึ้นค่าโดยสารรถสาณะทั้งรถเมล์ รถบขส. และรถร่วมเป็นวันแรกหากไปดูในโซเชียลมีเดียก็บ่นกันระงม บางคนโยงไปการเมืองตอนก่อนเลือกตั้งไม่ขึ้นราคา มีการหาเสียงช่วยค่าครองชีพแต่หลังเลือกตั้งก็ขึ้นราคาแสนแสนแพง ซึ่งทางสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไปยื่นฟ้องคัดค้านและศาลปกครองกลางนัดไต่สวนวันนี้ แต่ยังไม่มีคำสั่ง เนื่องจากศาลฯ ขอข้อมูลต้นทุนการเดินรถจาก ขสมก. และ บขส. เพื่อพิจารณาประกอบก่อนจะมีคำสั่งวันที่ 24 เมษายนนี้
นางภัทรวดี กล่อมจรูญ นายกสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทาง กล่าวว่า การขึ้นค่าโดยสารมีความจำเป็น เพราะต้นทุนการเดินรถผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระอย่างหนัก และจากข้อมูลกรมการขนส่งทางบก ระบุว่าผู้ประกอบการต้องเลิกการเดินรถประมาณ 500 คัน แต่ข้อเท็จจริงขอยืนยันว่าผลกระทบจากต้นทุนเชื้อเพลิงราคาก๊าซที่ปรับสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมามีผู้ประกอบการหยุดเดินรถไปแล้ว 2,000 คัน และหากครั้งนี้ไม่ได้ปรับอีกผู้ประกอบการอีกกว่า 1,000 คันต้องออกจากอาชีพ
ซึ่งเรื่องราคาก๊าซเอ็นจีวีนั้น นายศิริ จิระพงพษ์พันธ์ รมว.พลังงาน ชี้แจงว่า ราคาปัจจุบันปตท.จำหน่ายแก่รถสาธารณะด้วยวงเงินอุดหนุน 6 บาท/กก. โดยราคาขายทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 16 บาท/กก. แต่ขายรถสาธารณะทั้งแท็กซี่ รถตู้ รถร่วมบริการที่ 10.60 บาท/กก. อย่างไรก็ตาม การขึ้นค่าโดยสารรถสาธารณะวันนี้ ตามมติคณะกรรมขนส่งทางบกกลางกันนั้น ได้มีการคำนวณรวมราคาเอ็นจีวีที่ลอยตัว หรือพูดง่ายๆคือ สะท้อนราคารถสาธารณะที่จะต้องรับภาระ ราคาเอ็นจีวีที่ขึ้น 6 บาท/กก. คือปรับจาก 10.60 บาท/กก.เป็น 16 บาท/กก.แล้ว อย่างไรก็ตาม เพื่อร่วมลดภาระของผู้ประกอบการขนส่งให้มีกำไรเหลือบ้าง
ทาง คณะกรรมการนโยบายพลังงาน หรือ กบง.ประชุมเมื่อวันศุกร์จึงมีมติให้ ทยอยปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีรถสาธารณะ คือทยอยปรับขึ้นครั้งละ 1 บาท/กก. รวม 3 บาท/กก. ภายในเวลา 8 เดือน คือจะเริ่มขึ้นวันที่ 16 พฤษภาคมนี้ แล้วอีก 4 เดือนก็ปรับขึ้นอีก 1 บาท และหลังจากนั้นอีก 4 เดือนก็ปรับขึ้นอีก 1 บาท รวมแล้วก็จะขยับจาก 10.60 บาท/กก. เป็น 13.60 บาท/กก. ในกลางเดือนมกราคมปีหน้า โดยในส่วนต่างกับราคาลอยตัว อีก 3 บาท/กก.นี้ ทาง บมจ.ปตท.ก็จะเป็นผู้รับภาระไปก่อน
รมว.พลังงาน ยังระบุด้วยว่า มติ กบง. เมื่อวันศุกร์ยังเห็นชอบให้ประกาศมาตรฐานน้ำมันไบโอดีเซล บี 10 และปั๊มทั่วไปจะเริ่มขายตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค. ในราคาต่ำกว่า บี 7 ที่ 1 บาท/ลิตร ซึ่งรถค่ายญี่ปุ่นและเชฟโรเล็ตยอมรับมาตรฐานบี 7 แล้ว แต่ค่ายรถยุโรปยังไม่ยอมรับ เพราฉะนั้นปั๊มทั่วไปก็จะสามารถเลือกการจำหน่ายบี 7 ,บี10 และบี 20 ซึ่งรัฐมนตรีพลังงานก็คาดว่าด้วยราคาน้ำมันที่ต่ำก็จะดึงดูดให้เกิดการใช้บี 10 มากกว่า บี 7 และภาพรวมแล้ว จะทำให้การใช้น้ำมันปาล์มดิบ หรือซีพีโอในการผลิตน้ำมันสูงถึง 2.5 ล้านตัน/ปี ช่วยดึงราคาปาล์มให้สูงขึ้น พร้อมทั้งเผยว่า กฟผ.ได้ซื้อซีพีโอผลิตไฟฟ้าครบแล้ว 1.6 แสนตัน และกำลังพิจารณาว่าจะซื้อเพิ่มหรือไม่โดยเป็นทางเลือกควบคู่กับแนวทางการส่งออกบี 100 ของ ปตท.รวมแล้วอาจซื้อซีพีโอมาเพื่อผลิตพลังงานอีก 1 แสนตัน ซึ่งภาพรวมการเร่งซื้อดังกล่าวก็ทำให้ราคาซีพีโอขยับขึ้นมาอยู่ที่15.25-15.75 บาท/กก. และผลปาล์มดิบขยับขึ้นจาก 2 บาท/กก.มาอยู่ที่ประมาณ 2.40-2.50 บาท/กก. นับเป็นราคาที่ยังต่ำกว่าคาดจึงต้องเร่งนำมาผลิตบี10 และบี20 โดยด่วน
เรื่องร้อนๆ อีกเรื่องอันเนื่องมาจากอากาศร้อน คนก็เปิดแอร์ดับร้อนเพิ่มขึ้น ค่าไฟฟ้าก็แพงขึ้นไปด้วย เพราะค่าไฟฟ้าเป็นอัตราก้าวหน้า ยิ่งใช้มากก็จ่ายแพง แต่ก็มีโซเชียลออกมาระบุว่าค่าไฟฟ้าแพงขึ้นเพราะค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ หรือเอฟทีงวดนี้ ขยับขึ้น 4.30 บาท/หน่วย รัฐมนตรีพลังงาน ต้องออกมาชี้แจงบอกว่าไม่จริง อัตราที่ขึ้นตามต้นทุนเชื้อเพลิงคือ 4.30 สตางค์/หน่วยเท่านั้น พร้อมแนะว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้ามีส่วนสำคัญที่ทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าตามมาตรการ ปิด-ปรับ-ปลด-เปลี่ยน โดยปิดไฟดวงที่ไม่ใช้ ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศมาอยู่ที่ระดับ 26-27 องศาเซลเซียส ปลดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้งานก็จะช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ พร้อมเผยว่าตามแผนพัฒนาไฟฟ้าระยะยาวหรือพีดีพีฉบับใหม่ 20 ปีนี้ พยายามดูแลต้นทุนค่าไฟฟ้าให้ลดลงทั้งการประมูลแหล่งบงกชและเอราวัณรวมทั้งการแข่งขันนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจี ซึ่งล่าสุดมีเอกชน 12 ราย เสนอแข่งขันขายให้กฟผ.นำเข้า 1.5 ล้านตัน/ปี เป็นเวลาสัญญา 8 ปี โดยราคาต้องต่ำกว่าสัญญาระยะยาวที่ ปตท.นำเข้า ซึ่งการแข่งขันที่รุนแรงนี้จะทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าต่ำที่สุด และคาดว่าการคัดเลือกจะเสร็จสิ้นภายใน 2 สัปดาห์นี้ และเริ่มนำเข้าล็อตแรก ก.ย.สำนักข่าวไทย