กรุงเทพฯ 27 มี.ค.-ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ยกฟ้อง “อัจฉริยะ และ ตร. กองปราบ”กรณีเบิกเงินคุ้มครองสิทธิ์ผู้เสียหายเกิน ชี้หลักฐานไม่เพียงพอตามที่ถูกกล่าวหา
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาคดีที่ นางสาวรัฏฏิการ์ ชลวิริยะบุญ เจ้าของกิจการร้านรับซื้อขายโทรศัพท์มือถือ ย่านมาบุญครอง เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พันตำรวจเอกพงษ์ไสว แช่มลำเจียก ผู้กำกับการสอบสวน กองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปรามกับพวกรวม 6 คน ในจำนวนนี้ เป็น ตำรวจกองปราบปราม 2 คน. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือ เหยื่ออาชญากรรม และพลเรือน อีก 3 คน ตกเป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และร่วมกันสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากกรณี ร่วมกันเบิกเงิน คุ้มครองสิทธิ์ ผู้เสียหายเกิน
คดีนี้ เมื่อ ปี2556-2557 ตำรวจกองปราบปราม จับกุมนางสาวรัฏฏิการ์ ในคดีฉ้อโกงประชาชนด้วยการหลอกขายโทรศัพท์มือถือ และ ปปง. สั่งอายัดเงินในบัญชี ของนางรัฏฏิการ์ 2 บัญชี ต่อมา 1 ในผู้เสียหาย ที่ซื้อโทรศัพท์จากเครือข่ายของนางรัฏฏิการ์ ได้ทำหนังสือร้องขอให้ตำรวจกองปราบ คืนเงินคุ้มครองสิทธิตามคำสั่งของ ปปง. ให้กับผู้สียหาย ทำให้ตำรวจกองปราบเบิกถอนเงินเป็นแคชเชียร์เช็คออกมา กว่า 11 ล้านบาท และนำไปคืนผู้เสียหาย ซึ่งพยานโจทก์รายหนึ่งเบิกความต่อศาลว่า เงินถูกแบ่งให้ตำรวจ 2 นาย จำเลย 1-2 และแบ่งให้นายอัจฉริยะกับพวก
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำเบิกความของพยานโจทก์ ไม่มีน้ำหนักเพียงพอใฟ้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1-2 ซึ่งเป็นตำรวจกองปราบปรามไปเบิกถอนเงินคุ้มครองสิทธิโดยมิชอบ เนื่องจากตำรวจทั้ง 2 ไม่ทราบจำนวนเงินคุ้มครองสิทธิล่วงหน้า และก่อนจะเบิกถอนเงินก็มีการปรึกษากับ ปปง. แล้ว รวมถึงไม่มีหลักฐานยืนยันว่าได้รับส่วนแบ่งจากเงินดังกล่าว เป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพนักงานสอบสวน เพื่อคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายเท่านั้น จึงพิพากษายกฟ้องไม่มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ดังนั้นจำเลย 3-6 จึงไม่เข้าข่ายการสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่กระทำความผิด พิพากษายกฟ้องเช่นกัน.-สำนักข่าวไทย