สระบุรี 19 มี.ค.- จังหวัดสระบุรี ดึงทุกฝ่ายร่วมมือกันแก้ปัญหาฝุ่นพิษ ระบุการใช้กฎหมายบังคับเข้มงวดไม่ทำให้ปัญหาลดลง ยิ่งสร้างปัญหา เผยดึงทุกฝ่ายในพื้นที่หน้าพระลานเฝ้าระวังค่าฝุ่น 40วัน พบสีแดงเพียง 4 วัน
ในการเสวนาเรื่องปัญหาและวิธีการจัดการฝุ่นละอองในพื้นที่จังหวัดสระบุรี นายสมเกียรติ สุสัณพูลทอง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยาธรรมชาติและสิ่งแวดจังหวัดสระบุรี กล่าวว่า นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ให้ความสำคัญการแก้ปัญหาฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นนับสิบปี และมอบหมายภารกิจชัดเจน ขณะที่ผู้ประกอบการโรงโม่หิน เหมืองหินปูน โรงแต่งแร่ ต่างตระหนักและเข้าใจว่าเป็นผู้ก่อปัญหา ต้องเข้ามาร่วมมือลดปัญหา เราจะไม่สามารถใช้กฎหมายในกลไกปกติ ที่ผ่านจะพบว่าการนำกฎหมายบังคับแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง และยิ่งสร้างปัญหา ดังนั้นตนจึงเสนอตั้งคณะอนุกรรมการ ขึ้นมาชุดหนึ่ง ให้มีตัวแทนผู้ประกอบการ ชาวบ้าน องค์กรปกครองท้องถิ่น มาสร้างความรู้ความเข้าใจยอมรับและร่วมกันแก้ปัญหา
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี มีนโยบายเข้มข้นในการแก้ปัญหา ขยายพื้นที่การทำงานแก้ปัญหาจาก 5 กิโลเมตรเป็น 10 กิโลเมตร
“ตำบลหน้าพระลานที่สำนักงานฯเฝ้าระวังและใช้เครื่องเซ็นเซอร์วัดปริมาณฝุ่นพิษ PM 10 เป็นเวลา 40 วัน ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ – 17 มีนาคม พบอยู่ขั้นวิกฤติสีแดงเพียง 4วัน ในระดับสีเหลืองเป็นส่วนใหญ่ มีสีส้มและสีเขียว ที่แตกต่างไม่เหมือนพื้นที่เกิดฝุ่นพิษจะชอบให้เกิดฝนตก เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เครื่องตรวจวัดเป็นสีแดงทั้งทีฝนตกแต่ตกเพียง 3ชั่วโมง พอฝนหยุดดินก็แห้ง รถสิบล้อก็วิ่งส่งปูนในเหมืองทั้งวันฝุ่นก็เพิ่มขึ้นใช้เวลา3วันกว่าจะหาย ดังนั้นการใช้ฝนหลวงมาแก้ปัญหาที่หน้าพระลาน สระบุรีไม่ได้”ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรฯสระบุรี กล่าว
นอกจากนี้นายสมเกียรติ กล่าวว่า มีการตั้งกลุ่มไลน์โดยเชิญส่วนราชการ ผู้บริหาร ผู้ประกอบการ ชาวบ้านเข้ามาสื่อสารถึงปัญหาฝุ่นชื่อว่า “รวมใจหน้าพระลานสู้ๆ”
ด้าน ศ.นพ.นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล รองอธิการบดี จุฬาฯ กล่าวว่า ได้รับการติดต่อจากผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ให้ตั้งเครื่องเซ็นเซอร์ตรวจค่าฝุ่นละอองทั้งจังหวัด 100 จุด เพื่อคอยเฝ้าระวัง ซึ่งสำนักยุทธศาสตร์จังหวัดกับฝ่ายวิชาการ จุฬาฯจะหารือกำหนดจุดติดตั้ง เบื้องต้นน่าจะใช้สถานที่โรงเรียน หรือวัด เนื่องจากจะต้องมีคนดูแลรักษาเครื่องเมื่อติดตั้งแล้ว เฉพาะราคาเครื่องฯๆละประมาณ 20,000 บาท .-สำนักข่าวไทย