ภูมิภาค 20 ก.พ. – พุทธศาสนิกชนไทย-ลาว นับพันคน ร่วมกันห่มผ้าองค์พระธาตุกลางน้ำจำลอง ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย ส่วนที่วัดสระมรกต ต.โคกไทย อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรีประชาชนพร้อมใจกันนุ่งขาวห่มขาวเวียนเทียนรอบรอยพระพุทธบาทคู่ที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย มีอายุกว่า 1,000 ปี ขณะที่ จ.เชียงใหม่ นักท่องเที่ยวต่างชาติร่วมเวียนเทียนและจุดประทีปถวายเป็นพุทธบูชาในวันมาฆบูชา
เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (19 ก.พ.62) ที่พระธาตุกลางน้ำ หรือพระธาตุหล้าหนอง ลานวัฒนธรรม ชุมชนวัดธาตุ ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย นายกำภล เมืองโคตร นายกเทศมนตรีเมืองหนองคาย นำพุทธศาสนิกชนไทย-ลาวนับพันคน ร่วมกันประกอบพิธีห่มผ้าองค์พระธาตุกลางน้ำจำลอง
พิธีห่มผ้าองค์พระธาตุกลางน้ำจำลองปีนี้ มีพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวลาว รวมทั้งนักท่องเที่ยวมาร่วมพิธีมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา คาดว่าเกิดจากพลังศรัทธาที่มีต่อพระธาตุกลางน้ำ และหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ที่ระบุในพินัยกรรมให้นำเถ้าอัฐิมาลอยในแม่น้ำโขงที่ จ.หนองคาย ซึ่งได้ประกอบพิธีลอยอังคารเถ้าอัฐิหลวงพ่อคูณ บริเวณพระธาตุกลางน้ำเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2562 และยังได้มีพิธีลอยเถ้าถ่านนกหัสดีลิงค์ ในแม่น้ำโขง จ.หนองคาย ตามพินัยกรรมหลวงพ่อคูณ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
พระธาตุกลางน้ำ หรือพระหล้าหนอง เป็นพระธาตุที่หักพังอยู่กลางลำน้ำโขง เป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุฝ่าพระบาทเก้าพระองค์ ตามตำนานอุรังคธาตุ ตามหนังสือประชุมพงศาวดาร ภาค 70 บันทึกไว้ว่า พระธาตุเมืองหนองคายได้พังลงเมื่อวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ปี พ.ศ. 2390 ปัจจุบันตลิ่งถูกน้ำโขงกัดเซาะจนองค์พระธาตุไปอยู่กึ่งกลางแม่น้ำโขง เทศบาลเมืองหนองคายจึงได้ร่วมกับชาวหนองคายจัดทำโครงการก่อสร้างองค์พระธาตุกลางน้ำจำลองขึ้น และบรรจุชิ้นส่วนพระธาตุองค์จริงเข้าไปไว้ข้างใน และปรับปรุงสภาพแวดล้อมริมฝั่งแม่น้ำโขงขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้งได้รก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง เพื่อป้องกันน้ำโขงกัดเซาะจนพังทลาย
ขณะที่บริเวณวัดสระมรกต ต.โคกไทย อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี นายพิบูลย์ หัตถกิจโกศล ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานฝ่ายคฤหัสถ์ และพระพิศาลศึกษากร เจ้าคณะจังหวัด (มหานิกาย) เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นำพุทธศาสนิกชนนับหมื่นคนที่พร้อมใจกันนุ่งขาวห่มขาวเวียนเทียนรอบรอยพระพุทธบาทคู่ที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย มีอายุกว่า 1,000 ปี เพื่อเป็นพุทธบูชา ในวันมาฆบูชา ขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 จ.ปราจีนบุรี จึงร่วมกับคณะสงฆ์ จัดงานวันมาฆปูรมีศรีปราจีน ขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้ยืนยาว พร้อมจัดให้เวียนเทียนรอบรอยพระพุทธบาทเพื่อเป็นพุทธบูชา
เช่นเดียวกับประชาชนและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ร่วมไหว้พระสวดมนต์ ทำวัตรเย็น นั่งสมาธิเจริญจิตภาวนา ละเลิกอบายมุข ทำความดีละเว้นความชั่ว ที่พระวิหารลายคำ วัดพันเตา ในตัวเมืองเชียงใหม่ เนื่องในวันมาฆบูชา จากนั้นได้ร่วมกันนำสวยดอกไม้ธูปเทียน ร่วมกันเดินเวียนเทียนรอบพระวิหารลายคำ 3 รอบ เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยทางวัดยังได้นำประทีปดวงไฟมาให้กับนักท่องเที่ยวจุดถวายเป็นพุทธบูชา บริเวณหน้าพระพุทธรูปลานธรรมภายในวัด จนสว่างไสวสวยงาม นักท่องเที่ยวต่างพากันถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ท่ามกลางคืนพระจันทร์เต็มดวง วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 ขณะที่ตามวัดสำคัญต่างๆ ในตัวเมืองเชียงใหม่ มีการจัดกิจกรรมเวียนเทียนมาฆบูชา ทั้งวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร วัดสวนดอกพระอารามหลวง วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร วัดเจ็ดยอดพระอารามหลวง และวัดศรีโสดาพระอารามหลวง
ส่วนที่หอดูดาว อุทยานดาราศาสตร์สิรินทร สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ จัดกิจกรรมดูพระจันทร์ดวงโตโคจรใกล้โลก โดยนำกล้องดูดาวขนาดใหญ่มาติดตั้งให้เยาวชน และชาวเชียงใหม่ได้ชมพระจันทร์เต็มดวงในคืนเดือนเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งโคจรใกล้โลกมากที่สุดในรอบปี ห่างจากโลกประมาณ 356,836 กิโลเมตร สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าทั่วไทย หากดูผ่านกล้องดูดาวจะมองเห็นรายละเอียดบนดวงจันทร์ได้อย่างชัดเจน ทั้งหลุมอุกกาบาต และภูขาบนดวงจันทร์ ซึ่งเมื่อคืนนี้ดวงจันทร์มีขนาดใหญ่กว่าปกติถึง 7% และยังมีความสว่างเพิ่มขึ้นอีก 16% หากพลาดโอกาสครั้งนี้ ต้องรออีกครั้งในวันที่ 8 เมษายน 2563 ดวงจันทร์จะห่างจากโลกประมาณ 357,022 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับกำเนิดดวงจันทร์ ให้กับเยาวชนที่สนใจ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจทางดาราศาสตร์อีกด้วย
นายศุภฤกษ์ คฤหานนท์ หัวหน้างานบริการวิชาการทางดาราศาสตร์ กล่าวว่า ดวงจันทร์จะโคจรรอบโลกเป็นวงรี 1 รอบ ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน แต่ละเดือนจะมีตำแหน่งที่ดวงจันทร์ใกล้โลกที่สุดเรียกว่า “เปริจี” ระยะทางเฉลี่ยประมาณ 356,000 กิโลเมตร และตำแหน่งไกลโลกที่สุดเรียกว่า “อะโปจี” หรือห่างประมาณ 406,700 กิโลเมตร ปรากฏการณ์ดวงจันทร์ใกล้โลกมีผลให้เกิดปรากฎฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลงมากกว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีผลกระทบอื่นใดๆ ต่อโลก. – สำนักข่าวไทย