กรุงเทพฯ 12 ก.พ. – ธปท.เผย non-bank 8 ราย ร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ระยะ 2 คาดเริ่มไตรมาส 2
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า โครงการคลินิกแก้หนี้เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศในการแก้ปัญหาหนี้ของประชาชนอย่างเป็นระบบ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันกับเจ้าหนี้หลายรายให้มีโอกาสจัดการแก้ไขปัญหาหนี้ของตนได้ ปกติจะทำได้ยากเนื่องจากเจ้าหนี้แต่ละรายมีหลักเกณฑ์ที่ต่างกัน และลูกหนี้จะต้องเจรจากับเจ้าหนี้แต่ละรายด้วยตนเอง
สำหรับโครงการระยะที่ 1 ครอบคลุมเฉพาะหนี้ของธนาคารพาณิชย์ แต่ระยะ 2 จะขยายขอบเขตให้รวมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลของผู้ประกอบการ non-bank ทำให้โครงการนี้มี impact และสามารถช่วยเหลือประชาชนได้กว้างขวางและเบ็ดเสร็จมากขึ้น เพราะหนี้ส่วนนี้มีสัดส่วนจำนวนลูกหนี้กว่า ร้อยละ 70 ของทั้งหมด และจากข้อมูลลูกหนี้ที่ติดต่อกับโครงการที่ผ่านมา พบว่าเป็นลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้ non-bank รวมอยู่ด้วยจำนวนสูงพอสมควร อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่ายินดีว่าขณะนี้ผู้ประกอบการ non-bank อย่างน้อย 8 ราย เห็นถึงความสำคัญของโครงการที่จะช่วยแก้ปัญหาหนี้สินให้ประชาชน และแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ 1. บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด 2. บริษัท ซิตี้คอร์ป ลิสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด 3. บริษัท เทสโก้ คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด 4. บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด 5. บริษัท พรอมิส (ประเทศไทย) จำกัด 6. บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด 7. บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) และ 8. บริษัท อีซี่ บาย จำกัด (มหาชน) คาดว่าลูกหนี้ของ non-bank จะสามารถเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ภายในไตรมาส 2 ปี 2562 เนื่องจากต้องรอให้การแก้ไขกฎหมาย เพื่อขยายขอบเขตให้บริษัทบริหารสินทรัพย์สามารถรับจ้างบริหารหนี้ เอ็นพีแอลของ non-bank มีผลบังคับใช้ ปัจจุบันผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว
นอกจากนี้ เพื่อให้การดำเนินการของโครงการมีประสิทธิภาพและสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ที่สุจริตและมีความตั้งใจให้แก้ไขปัญหามากขึ้น จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์เพิ่มเติม 2 ส่วนสำคัญ คือ 1.คุณสมบัติการเข้าโครงการที่เดิมต้องเป็นเอ็นพีแอลก่อนวันที่ 1 เมษายน 2561 ปรับเป็นต้องเป็นเอ็นพีแอลก่อนวันที่ 1 มกราคม 2562 และ 2. ปรับปรุงเกณฑ์การพิจารณาความสามารถชำระหนี้ และวิธีการชำระหนี้ ให้ยืดหยุ่น ง่าย และสอดคล้องกับสถานะลูกหนี้แต่ละรายได้มากขึ้น โดยเกณฑ์ใหม่จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562
สำหรับจุดเด่นของโครงการคลินิกแก้หนี้ นอกจากเป็น one stop service แก้ปัญหาหนี้ที่มีเจ้าหนี้หลายรายแล้ว อีกเรื่องที่สำคัญ คือ การให้โอกาสลูกหนี้ผ่อนชำระได้สูงสุดถึง 10 ปี ทำให้ภาระที่ต้องจ่ายต่อเดือนไม่มาก เช่น ลูกหนี้ที่มียอดหนี้ 100,000 และ 50,000 บาท จะผ่อนชำระขั้นต้นเพียงประมาณ 1,200 และ 600 บาทต่อเดือนตามลำดับ และจากการสอบถามลูกหนี้ที่ติดต่อได้เบื้องต้น พบว่ามีลูกหนี้อย่างน้อย 300-400 ราย ซึ่งเดิมปรับโครงสร้างหนี้ไม่สำเร็จหรือไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้จะสามารถแก้ไขหนี้ได้สำเร็จเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ใหม่ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ ร้อยละ 30 จากปัจจุบัน
นายนิยต มาศะวิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) และนายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ทั้ง 2 หน่วยงานจะลงนามใน MOU โดย NCB จะยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจสอบรายงานข้อมูลเครดิต สำหรับลูกหนี้ที่มาติดต่อและลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ผ่านช่องทางที่สำนักงานของ SAM เพื่อลดภาระของลูกหนี้ที่สมัครเข้าโครงการ (ปกติมีค่าใช้จ่าย 100 บาท) รวมทั้งจะร่วมกันปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบและส่งข้อมูล ทำให้การปรับโครงสร้างหนี้เริ่มเร็วขึ้นและใช้เวลาสั้นลง
ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มดำเนินการ โครงการคลินิกแก้หนี้ได้ให้คำปรึกษาแนวทางแก้ไขหนี้แก่ลูกหนี้ 33,900 ราย และมีลูกหนี้ที่สามารถปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จและลงนามสัญญา 1,087 ราย สำหรับประชาชนที่มีปัญหาหนี้บัตรเดรดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลกับเจ้าหนี้หลายรายสามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำการเข้าร่วมโครงการและการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ได้ที่โครงการคลินิกแก้หนี้ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) Call Center โทร. 0 2610 2266 หรือทางเว็บไซต์ www.debtclinicbysam.com.-สำนักข่าวไทย