สำนักงานกกต. 16 ม.ค.-เลขาฯกกต.แจงวิธีหาเสียงทำอะไรได้-ไม่ได้ เตรียมวอร์รูมตรวจสอบการหาเสียงผ่านโซเชียลมีเดีย เตือนผู้สมัครกดไลค์ กดแชร์โพสต์ใส่ร้ายผิดทั้งอาญา พ.ร.บ.คอมพ์ ได้ใบแดง
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กล่าวถึงกรณีราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) และประกาศกกต.จำนวน 9 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับวิธีการรหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการเลือกตั้ง โดยระเบียบดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เมื่อพระราชกฤษฎีกา(พ.ร.ฎ.)ให้มีการเลือกตั้งมีผลใช้บังคับ ทั้งนี้ การออกระเบียบดังกล่าว กกต.คำนึงเรื่องการที่กฎหมายกำหนดให้การหาเสียงของผู้สมัครและพรรคการเมืองต้องเป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน อีกทั้งกฎหมายยังกำหนดให้รัฐสนับสนุนการหาเสียงพรรคการเมือง จึงทำให้กกต.กำหนดค่าใช้จ่ายแบบแบ่งเขตไม่เกิน 1.5 ล้านบาท และแบบบัญชีรายชื่อไม่เกิน 35 ล้านบาท
“รายละเอียดของวิธีหาเสียงที่น่าสนใจ เรื่องโซเซียลมีเดียที่กำหนดให้ผู้สมัครหาเสียงได้ทั้งในเฟชบุ๊ก ไลน์และแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ โดยคิดเป็นค่าใช้จ่าย ซึ่งผู้สมัครต้องแจ้งต่อกกต.ก่อนการหาเสียง เพื่อป้องกันพวกอวตาร ที่สวมรอยใช้รูป ใช้ชื่อคนอื่นแอบอ้างโจมตีผู้อื่น ซึ่งประธานกกต.ให้ความสำคัญประเด็นนี้และจะลงมาดูแลเอง โดยสำนักงานกกต.จะตั้งวอร์รูมตรวจสอบและทำความตกลงกับเจ้าของเวบไซต์ เวบเพจ เช่น เฟชบุ๊ก ยูทูป เมื่อพบการโพสต์ข้อความไม่ถูกต้อง ใส่ร้ายป้ายสีจะประสานให้ผู้โพสต์ลบทิ้ง หากไม่ลบจะประสานให้กระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการ กรณีเป็นการโพสต์มาจากต่างประเทศจะประสานตัวแทนในประเทศไทยให้ลบ หากเป็นเวบใต้ดินหาที่มาไม่ได้ก็จะลบเลย แต่จะเตือนไปยังผู้สมัครให้ระวังการกดแชร์ กดไลค์ กองเชียร์ กองแช่งมีเยอะ เพราะถ้าเป็นการกดแชร์หรือไลค์ข้อความใส่ร้าย นอกจากจะผิดอาญาข้อหาหมิ่นประมาทแล้ว ยังผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์และผิดกฎหมายเลือกตั้ง มีโทษใบแดง” เลขาธิการกกต. กล่าว
ส่วนกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจะจัดรายการกู๊ดมันเดย์ ซึ่งอาจมีเนื้อหาช่วยหาเสียงให้บางพรรคการเมือง พ.ต.อ.จรุงวิทย์ เลี่ยงที่จะตอบโดยอ้างว่า ถ้าเป็นเรื่องของการกระทำว่าผิดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตีความ จะให้ตอบขณะนี้คงไม่ได้ ยกเว้นเป็นคดีขึ้นมา กกต.จะตรวจสอบ
เลขาธิการกกต. กล่าวถึงการติดป้ายประกาศหาเสียงเลือกตั้งว่า ผู้สมัครสามารถจัดทำป้ายขนาด เอ 3 จำนวนไม่เกิน 10 เท่าของหน่วยเลือกตั้งหรือประมาณ 270 ต่อเขตเลือกตั้ง ส่วนป้ายขนาด 130 X 245 ซม.ติดได้ไม่เกิน 2 เท่าของหน่วยเลือกตั้ง หรือ 540 แผ่นต่อเขตเลือกตั้ง ซึ่งป้ายทั้ง 2 แบบจะติดได้ในสถานที่ที่ผอ.กกต.เขตกำหนดเท่านั้น ส่วนแผ่นป้ายหาเสียงขนาด 400 X 750 ซม. ติดได้ที่หน้าที่ทำการพรรคหรือสาขาพรรค เขตเลือกตั้งละ 1 ป้าย
“ขอให้พึงระวังอย่าพิมพ์หรือติดป้ายเกิน อาจถูกคู่แข่งไปแจ้งความได้ เนื่องจากมีโทษทางอาญา จำคุกไม่เกิน 6 เดือนและปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนป้ายติดรถหาเสียงและเวทีหาเสียงจะถูกควบคุมด้วยค่าใช้จ่าย สำหรับเนื้อหาและรูปภาพในป้ายหาเสียง เช่น คำขวัญ นโยบาย รูปของผู้สมัคร กรรมการบริหารพรรค และผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี หัวหน้าและสมาชิกพรรคเท่านั้น ส่วนใบปลิวและวีดิทัศน์ ห้ามโปรย ห้ามวาง ต้องแจกกับมือผู้มีสิทธิเลือกตั้งเท่านั้น” พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าว
เลขาธิการกกต. กล่าวว่า สำหรับผู้ช่วยหาเสียงหรือคนเดินแจกใบปลิว ตามระเบียบให้ผู้สมัครแบบแบ่งเขตมีผู้ช่วยหาเสียงได้ไม่เกิน 20 คน พรรคการเมืองละไม่เกิน 10 เท่าของเขตเลือกตั้งที่ส่งผู้สมัคร อนุญาตให้เปลี่ยนได้ไม่เกิน 3 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 1 ใน 3 เพราะผู้ช่วยหาเสียงต้องรับค่าแรง กฎหมายจึงต้องป้องกันการเอาเงินค่าซื้อเสียงไปแบ่งให้ผู้ช่วยหาเสียง และป้องกันคนที่มีทุนมาก มีเงินจ้างผู้ช่วยหาเสียงได้มาก
“ส่วนการหาเสียงทางวิทยุและโทรทัศน์ ผู้สมัครจะดำเนินการเองไม่ได้ กกต.จะจัดสรรเวลาออกอากาศให้พรรคละไม่เกิน 10 นาที นอกจากนี้กฎหมายยังเพิ่มเติมการดีเบตนโยบายหรือประชันนโยบายของพรรคการเมือง โดยจัดเป็นกลุ่มพรรคการเมือง 3 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นพรรคที่ส่งผู้สมัครตั้งแต่ 300-350 เขต กลุ่มที่ 2 ส่งผู้สมัครตั้งแต่ 200-299 เขตและกลุ่มที่ 3 ส่งผู้สมัครตั้งแต่ 199 เขตลงมา ซึ่งในส่วนของสถาบันการศึกษาหรือองค์กรวิชาชีพต่าง ๆ สามารถจัดดีเบตได้ แต่ต้องยึดหลักความเท่าเทียมกัน ส่วนกรณีบางพรรคการเมืองมีเครือข่ายเป็นเจ้าของสื่อโทรทัศน์ และอาจให้น้ำหนักการนำเสนอข่าวให้บางพรรค ถ้ามีเรื่องร้องเรียนมา กกต.ต้องไปตรวจสอบ สำหรับเจ้าของสื่อ กฎหมายเขียนห้ามไว้แล้ว การนำเสนอข่าวต้องเท่าเทียมกันทุกพรรคการเมือง ทำข่าวได้ หาเสียงไม่ได้” พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าว
เลขาธิการกกต. กล่าวถึงลักษณะต้องห้ามการหาเสียง ห้ามผู้สมัคร ห้ามพรรคการเมืองใช้ผู้ประกอบอาชีพ เจ้าของกิจการวิทยุโทรทัศน์ สื่อมวลชน สื่อโฆษณา เอื้อประโยชน์การหาเสียงให้กับตน เว้นแต่ถ้าบุคคลนั้นเป็นผู้สมัคร สามารถใช้ความรู้ความสามารถทางศิลปะของตนเองหาเสียงได้ แต่ต้องไม่ใช้อุปกรณ์ในการแสดง กรณีการช่วยซองงานบุญ งานบวช หรืองานศพ แม้จะเป็นงานตามประเพณีนิยมหรือเป็นจารีตประเพณีปกติไม่สามารถทำได้ แม้แต่การวางพวงหรีดก็ทำไม่ได้ เพราะเป็นทรัพย์สินที่ตีเป็นมูลค่าได้ อาจเข้าลักษณะหาเสียงและเป็นพฤติการณ์ที่สุ่มเสี่ยง
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าวถึงเรื่องการขอใช้สถานที่ราชการหาเสียงของพรรคการเมืองว่า สามารถทำได้ แต่เจ้าของสถานที่ต้องคำนึงเรื่องความเท่าเทียมกันหรือให้ทุกพรรคสามารถใช้สถานที่ได้อย่างเท่าเทียม และเจ้าของสถานที่ต้องวางตัวเป็นกลาง และมีจิตสำนึกว่าตัวเองเป็นข้าราชการ ต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่ใช่ไปเดินช่วยแจกใบปลิวหรือขึ้นเวทีหาเสียง.-สำนักข่าวไทย
