รร.พลาซ่าแอทธินี 7 ม.ค. – รองนายกรัฐมนตรีชี้โอกาสลงทุนปีหมูทอง ยอมรับปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า จากความไม่แน่นอนสูงภายนอกประเทศ และการเลือกตั้ง หวั่นสงครามการค้าสหรัฐ-จีน กระทบการส่งออกไทย “สนธิรัตน์” ชี้เศรษฐียุคใหม่จากโลจิสติกส์-การค้าออนไลน์
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา “Krungthai NEXT Thailand ECONOMIC CHALLENGES 2019” ว่า หลังจากหารือเพื่อจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2563 ได้คาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2561 เติบโตประมาณร้อยละ 4-4.2 จากแรงขับเคลื่อจากการลงทุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) การท่องเที่ยวมีสัญญาณการฟื้นตัว ท่ามกลางความผันผวน ไทยยังคงมีโอกาสเติบโต จึงต้องทำตัวเองให้มีจุดเด่นมากที่สุด ต้องเปลี่ยนแปลง และปฏิรูปด้านเศรษฐกิจให้น่าสนใจของนักลงทุน เพื่อให้นักลงทุนหันเข้ามาลงทุนในไทยมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย หรือเวียดนาม
“เศรษฐกิจปีหมูทองต้องติดตามความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน 2 เด้ง 2 ด้าน ทั้งความผันผวนจากภายนอกและการเลือกตั้ง เพราะนักลงทุนจับตาว่าปีนี้จะดีมากน้อยขึ้นอยู่กับว่าพรรครัฐบาลผสมจะสานต่อนโยบายอย่างไร จากนี้ความไม่แน่นอนของสหรัฐยังส่งผลกระทบต่อตลาดเงินทั่วโลก และตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนเช่นเดียวกัน เมื่อตลาดหุ้นถูกกระทบความมั่งคั่งจะหดหายไป จึงทำให้นักลงทุนเริ่มหวั่นใจ ว่า “ปีหมูทอง จะเป็นหมูอยู่หรือไม่” นายสมคิด กล่าว
หลังจากครึ่งปีหลังของปีนี้ยังมีปัจจัยบวกที่เป็นโอกาสต่อการลงทุน คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะมีแนวโน้มดีขึ้น และการประคับประประคองให้เศรษฐกิจขยายตัว ส่งไม้ต่อไปให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้ง เพื่อสร้างความไม่แน่นอนให้เกิดความชัดเจนกับนักลงทุน ประชาชนทั่วไป เนื่องจากโครงการลทุนขนาดใหญ่ที่ได้รับความร่วมมืออย่างมากจากจีน ญี่ปุ่น และชาติตะวันตก มองไทยเป็นศูนย์กลางในการลงทุน ดังนั้น การเมืองในประเทศอย่าคิดแต่ด่าทอหรือทะเลาะ ปั้นเรื่องใส่ร้ายกัน ไม่เช่นนั้นจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศ เมื่อไทยมีความพร้อมเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคจะไม่เป็นที่ 2 รองใครในอาเซียน นับจากปีหมูทองหากทุกอย่างไปได้ด้วยดีนโยบายยังต่อเนื่อง การลงทุนยังมีต่อ เชื่อว่าหลังการเลือกตั้งสถานการณ์เศรษฐกิจและภาพรวมในประเทศจะดีขึ้นอย่างแน่นอน
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในงานสัมมนาว่า คาดว่าการส่งออกของไทยปี 2562 อาจต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 8 หลังจากปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 7-8 เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังมีปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ มาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จึงต้องเร่งหาตลาดใหม่มารองรับ
“เศรษฐียุคเศรษฐกิจดิจิทัลจะมาจากการค้าออนไลน์และโลจิสติกส์ ผู้ประกอบการและเอสเอ็มอี ต้องมองภาคกลุ่ม CLMV เพื่อให้ตลาดใหญ่ขึ้น จาก 60 ล้านคน เพิ่มเป็น 250 ล้านคน เมื่อได้มุ่งไปสู่การเป็นศูนย์กลางของอาเซียนด้วยการพัฒนาระบบ 5 จีมารองรับการค้า การลงทุน เชื่อมต่อข้อมูลทุกด้าน จึงชวนเว็บไซต์ขนาดใหญ่ของจีนมาร่วมพัฒนาร้านโชว์ห่วยไทย ค้าขายออนไลน์ เป็นทั้งหน้าร้านให้โรงงานผลิต โดยไม่ต้องสตอกสินค้าซื้อสินค้าตรงจากโรงงานและช่องทางขายสินค้าชุมชน” นายสนธิรัตน์ กล่าว
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสหากรรม กล่าวว่า ในปี 2562 หมูทองแห่งการลงทุน เป็นโอกาสแห่งการลงทุนด้านเทคโนโลยี จึงได้ขยายอุตสาหกรรม 4.0 ให้กระจายออกไปทั่วทุกภูมิภาคผ่านการพึ่งพาเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยี 5 จี พัฒนาบุคลากรรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ยอมรับว่ากลุ่มอุตสาหกรรมหลักตั้งเป้าหมายลงทุนปีนี้ โดยเฉพาะรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 30,000 ล้านบาท เพื่อเน้นพลังงานทดแทน การลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ 20,000 ล้านบาท อุตสาหกรรมชีวภาพ จะแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับอ้อย เพื่อเปลี่ยนจากการผลิตน้ำตาลเพียงอย่างเดียวให้สามารถผลิตยา เครื่องสำอาง
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า การปรับยุทธศาสตร์ของประเทศต้องเร่งทำตามกระแสโลกที่เปลี่ยนไป แม้จะอยากเปลี่ยนต้องเปลี่ยนด้วยความสามารถ เพราะขณะนี้ไทยมีทั้งโอกาสและภัยคุกคามมาพร้อมกัน รัฐบาลใหม่จึงต้องแข็งแรง สร้างบุคลากรรองรับศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะการพัฒนาด้านอาชีวะ เพราะเป็นพลังงานสร้างชาติ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ล้วนมาจากคนกลุ่มนี้เหมือนกับต่างชาติ การใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงข้อมูลรายบุคคล จัดสรร สวัสดิการให้ตรงจุด ตรงตามความต้องการของบุคคล เพราะบางคนต้องการหมอ ต้องการเงิน ต้องการอาชีพ ล้วนมีความต้องการต่างกัน .-สำนักข่าวไทย