ก.พลังงาน 5 ก.ย. – โรงไฟฟ้าถ่านหินเนื้อหอม ทั้งชาวบ้าน อ.ทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รวมถึงโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี จ.ระยะยอง เรียกร้องให้ก่อสร้างหลัง โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเอ็นพีเอส, กระบี่, เทพา ยังล่าช้า
กลุ่มชาวบ้านทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กว่า 20 คน เข้าพบตัวแทนกระทรวงพลังงาน เพื่อยื่นหนังสือถึง พล.อ. อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมแนบรายชื่อกลุ่มสนับสนุน เช่น สมาชิกสภาจังหวัด, กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน, ชมรมครู, องค์การบริหารส่วนตำบล, กลุ่มชาวประมง เรียกร้องให้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาด ในพื้นที่ของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ใน ต.นาหูกวาง อ.ทับสะแก กำลังผลิตไม่ต่ำกว่า 1,000 เมกะวัตต์ เหตุผลหลักจะเพิ่มความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในภาคใต้ และการที่มีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่จะมีเงินจากกองทุนพัฒนาชุมชนรอบโรงไฟฟ้า รวมทั้งการก่อสร้างช่วยพัฒนาสนับสนุนคุณภาพชีวิต ซึ่ง กฟผ.ได้ซื้อที่ดินแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 2539 เดิมมีแผนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแต่ถูกต่อต้าน จึงยกเลิกโครงการ ปัจจุบันก่อสร้างเพียงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 5 เมกะวัตต์
นายแดง ชาติแกม ผู้นำกลุ่มชาวประมง ชายฝั่งทุ่งประดู่ กล่าวว่า ก่อนหน้าเคยต่อต้าน เพราะมีกลุ่มเสื้อเขียว “หินกรูด บ่อนอก”มาให้ข้อมูลและกลัวว่ามลพิษโรงไฟฟ้าจะกระทบชาวบ้าน กระทบประมง แต่จากการไปดูงานโรงไฟฟ้าถ่านหินบีแอลซีพี ที่ มาบตาพุด จ.ระยอง โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลำปาง ไม่พบว่ากระทบต่อการทำมาหากิน หรือมีมลพิษน่ากลัว แต่อย่างใด และยังมีเงินพัฒนาพื้นที่ ก็เลยอยากเรียกร้องให้มีการก่อสร้าง เพื่อให้ลูกหลานมีงานทำในพื้นที่ในอนาคต
นายสมนึก รุ่งกำจัด ประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน ทับสะแก กล่าวว่า ชาวทับสะแกเกือบทั้งหมด สนับสนุนโรงไฟฟ้าถ่านหิน ส่วนกลุ่มอื่นๆ ที่คัดค้านเป็นคนนอกพื้นที่ ซึ่งการมากระทรวงฯครังนี้ มาช่วยปลดล็อคให้ภาครัฐที่สมัย นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ อดีต รมว.พลังงาน ลงนามกับกลุ่มเสื้อเขียว ว่าจะไม่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน”ทับสะแก” ซึ่งการที่จะก่อสร้างหรือไม่ควรให้คน”ทับสะแก” เป็นผู้ตัดสินใจ โดยพื้นที่ ทับสะแก เป็นทะเลน้ำลึก ไม่ใช่พื้นที่ท่องเที่ยว จึงเหมาะสมสำหรับการก่อสร้างโรงไฟฟ้ามากที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟฟ้าระยะยาว ( PDP 2015 ) เพิ่มสัดส่วนการใช้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดในการผลิตไฟฟ้าจาก 19% ในปัจจุบัน เป็น 20 – 25% ในปลายปี 2579โดยในส่วนของ โรงไฟฟ้าถ่านหินเอ็นพีเอส จ.ฉะเชิงเทรา 540 เมกะวัตต์ ,โรงไฟฟ้ากระบี่ 800 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าเทพา 2,000 เมกะวัตต์ ยังมีผู้คัดค้าน โดยทางนายชนินทร์ เชาวน์นิรัติศัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า (เอ็กโก้) ผู้ถือหุ้นโรงไฟ้ฟาบีแอลซีพี ระบุว่า ทางบีแอลซีพี มีความพร้อมที่จะก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ในระยอง อีก 1,000 เมกะวัตต์ เนื่องจากโครงการได้ผ่านความเห็นชอบในแผนรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (อีเอชไอเอ) แล้ว
นายชวลิต พิชาลัย รองปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากข้อมูลโรงไฟฟ้าเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดจาก กฟผ. ในช่วงที่ผ่านมา ระบุว่าจะมีค่าปลดปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์เพียง 50 ส่วนในล้านส่วน ซึ่งดีกว่าค่ามาตรฐานที่กรมควบคุมมลพิษกำหนดไว้ที่ 180 ส่วนในล้านส่วน หรือดีกว่าค่ามาตรฐานกำหนดมากกว่า 3 เท่าตัว รวมทั้งยังมีค่าการปลดปล่อยฝุ่นละอองเพียง 30 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งดีกว่าค่ามาตรฐานที่กรมควบคุมมลพิษกำหนดไว้ที่ 80 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือดีกว่าค่ามาตรฐานกำหนดมากกว่า 2 เท่าตัว เป็นต้น
นอกจากนี้ เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดตามแผนการสร้างโรงไฟฟ้า ที่กฟผ.จะได้เตรียมนำมาใช้ คือเทคโนโลยี ultra super critical ทําให้ใช้เชื้อเพลิงน้อยลง จึงมีผลให้ลดการปลดปล่อยมลพิษทางอากาศลงได้มาก โดยกระทรวงพลังงานยืนยันได้ว่า การผลิตไฟฟ้าจากเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด จะสะอาดตั้งแต่ต้นน้ำคือ การนำเข้าถ่านหินสะอาดที่มีคุณภาพสูงมีปริมาณซัลเฟอร์ต่ำและค่าความร้อนสูง ซึ่งเบื้องต้นจะพิจารณานำเข้าจากประเทศอินโดนีเซีย ออสเตรเลียหรือ แอฟริกาใต้ เป็นต้น รวมทั้งกลางน้ำ ด้วยเทคโนโลยีดังกล่าว จะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และฝุ่นละอองในกระบวนการผลิตไฟฟ้าได้เกือบทั้งหมด 100% และปลายน้ำ คือ มีการตรวจสอบวัดมลพิษและกระบวนการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด มีการปลูกต้นไม้ เพื่อเป็นแนวป้องกันอีกด้วย –สำนักข่าวไทย