กรุงเทพฯ 6 ก.ย.-ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยชี้การส่งออกของไทยแม้จะติดลบ แต่ยังดีกว่าหลายประเทศในเอเชีย เพราะมีตลาดส่งออกและผลิตภัณฑ์หลากหลาย แต่ระยะยาวต้องเร่งยกระดับผลิตภัณฑ์ สร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้ารองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก
ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) วิเคราะห์สถานการณ์ส่งออกของไทยว่า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกซบเซา ไทยมีมูลค่าส่งออกหดตัว 3 ปีติดต่อกัน และมีแนวโน้มว่าจะยังหดตัวต่อเนื่องในปี 2559 ล่าสุดมูลค่าส่งออกเดือนกรกฎาคม 2559 หดตัวร้อยละ 6.4 อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากข้อเท็จจริง พบว่าสถานการณ์การส่งออกของไทยในปัจจุบันยังอยู่ในสถานะที่ดีกว่า เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งสำคัญในเอเชีย สะท้อนจากมูลค่าส่งออกของไทยในปี 2559 ติดลบน้อยกว่าเกือบทุกประเทศ เป็นรองเพียงเวียดนามและญี่ปุ่น โดยการส่งออกของเวียดนามที่ยังขยายตัวได้ สาเหตุหลักมาจากการส่งออกของบริษัทต่างชาติที่มีสัดส่วนถึงร้อยละ 70 ของมูลค่าส่งออกรวม โดย เฉพาะกลุ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์สื่อสารที่เพิ่งย้ายฐานการผลิตเข้าไปในเวียดนาม
ขณะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ส่วนแบ่งตลาดของสินค้าไทยในตลาดโลกยังทรงตัว ขณะที่หลายประเทศในเอเชียมีส่วนแบ่งตลาดลดลงอย่างชัดเจน อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย ซึ่งภาวะส่งออกของไทยที่ยังอยู่ในระดับดีกว่าหลายประเทศคู่แข่งสำคัญมาจากหลายสาเหตุ คือ การที่ไทยมีโครงสร้างตลาดส่งออกและสินค้าส่งออกที่มีความหลากหลาย โดยตลาดส่งออกของไทยกระจายไปในหลายประเทศ นอกจากนี้ สินค้าส่งออกของไทยยังกระจายตัวในหลายผลิตภัณฑ์ และไทยยังมีเกราะป้องกันความผันผวนของการค้าโลกจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ซึ่งมีสัดส่วนราวร้อยละ 10 ของมูลค่าส่งออกรวม โดยเฉพาะกลุ่มอาหารที่ไทยมีศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันสูง เห็นได้จากมูลค่าส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ยังขยายตัวในแดนบวกต่อเนื่อง ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบต่อการส่งออกโดยรวมได้ในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม โครงสร้างตลาดส่งออกและสินค้าส่งออกของไทยที่กระจายตัวมากกว่าประเทศคู่แข่งอื่นๆ เป็นเพียงภูมิคุ้มกันภาคส่งออกของไทยในระยะสั้น แต่ในระยะยาวภาคส่งออกของไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยเฉพาะการปิดจุดอ่อนในภาคการผลิตที่ต้องยกระดับไปสู่การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงหรือสินค้านวัตกรรม ซึ่งราคามักไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจโลก การให้ความสำคัญและต่อยอดการวิจัยและพัฒนาในภาคการผลิต รวมถึงเรียนรู้และนำเทคโนโลยีรุ่นใหม่ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ “Internet of Things” มาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตลอดจนเตรียมความพร้อมเข้าสู่ยุค Industry 4.0 ที่เน้นการผลิตด้วยระบบอัตโนมัติและเชื่อมโยงเข้ากับระบบดิจิทัลอย่างเบ็ดเสร็จ ขณะเดียวกันก็ต้องเสริมจุดแข็งที่ดีอยู่แล้วของสินค้าไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารที่มีข้อได้เปรียบจากความพร้อมด้านวัตถุดิบและความเชี่ยวชาญของผู้ประกอบการ ตลอดจนยกระดับแบรนด์สินค้าไทยให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
ขณะเดียวกัน การขยายการลงทุนในต่างประเทศเพื่อสร้างฐานการผลิตและตลาดการค้าแห่งใหม่ โดยเฉพาะประเทศที่ผู้ประกอบการไทยยังไม่เคยมีหรือมีธุรกรรมค่อนข้างน้อยที่เรียกว่า New Frontiers ซึ่งเต็มไปด้วยโอกาสใหม่ๆ เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยขับเคลื่อนให้ภาคส่งออกของไทยเติบโตในระยะยาว -สำนักข่าวไทย