ชี้โอกาส “ตลาดส่งออก” ปีมังกร โตตามตลาดโลกฟื้นตัว

กรุงเทพฯ 28 ธ.ค.- EXIM BANK ชี้โอกาส “ตลาดส่งออก” ปีมังกร โตตามตลาดโลกฟื้นตัว หนุนการส่งออกไทยปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 4


ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) รายงายว่า ปี 2566 ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายรอบด้าน โดยเฉพาะผู้ส่งออกไทยที่ต้องเผชิญกับบรรยากาศการค้าโลกที่ไม่ค่อยสดใสนัก กดดันให้การส่งออกไทยทั้งปี 2566 มีแนวโน้มหดตัวครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่ราว 1-2% อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเริ่มเห็นสัญญาณแห่งความหวังมากขึ้น หลังตัวเลขการส่งออกเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน 2566 กลับมาขยายตัว 4 เดือนติดต่อกัน โดย EXIM BANK คาดว่า โมเมนตัมเชิงบวกดังกล่าวจะยังมีต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยหนุนให้การส่งออกของไทยปี 2567 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้ราว 4% ตามการค้าโลกที่ฟื้นตัว

ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า ปริมาณการค้าสินค้าโลกปี 2567 จะขยายตัว 3.2% หลังหดตัว 0.3% ในปี 2566 ทั้งนี้ จากโอกาสการส่งออกปี 2567 ที่เปิดกว้างมากขึ้น EXIM BANK ขอนำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับตลาดที่มีศักยภาพ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ส่งออกไทยสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น “ตลาดใหญ่” ตลาดที่มีประชากรมากที่สุดในโลกตลาดใหญ่ โดยเฉพาะตลาดอินเดียและจีน มีประชากรรวมกันกว่า 1 ใน 3 ของประชากรโลก ข้อมูลล่าสุดจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ชี้ว่า ปัจจุบันอินเดียมีประชากรราว 1,429 ล้านคน มากกว่าจีนที่มี 1,426 ล้านคน ซึ่งไม่เพียงแต่แซงจีนในแง่จำนวนประชากรเท่านั้น แต่ยังแซงจีนในแง่ GDP Growth ที่สูงสุดในกลุ่มประเทศ G20 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยปี 2566-2567 เกิน 6% แถมเป็นหนึ่งในประเทศที่เนื้อหอมที่สุดในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ


โดยเม็ดเงิน FDI Inflow ย้อนหลัง 10 ปี (ปี 2557-2566) ของอินเดียโตเฉลี่ยถึง 8% ต่อปี เทียบกับโลกที่โตเฉลี่ยเพียง 3% จากนโยบาย Make in India ของนายกรัฐมนตรี Narendra Modi ทำให้เขายังเป็นเต็งหนึ่งที่จะชนะการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2567 ปัจจัยดังกล่าวจะช่วยหนุนความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายและสร้างโอกาสในการส่งออกสินค้าไทยหลายรายการ โดยเฉพาะสินค้าขั้นกลางที่สอดรับกับ Supply Chain ใหม่ ๆ ที่มีนักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในอินเดีย อาทิ ส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักร ซึ่งล้วนเป็นสินค้าส่งออกของไทยไปอินเดียเติบโต Double Digits ในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกไทยไม่ควรจะมองข้ามตลาดจีนไปเลย เพราะแม้เศรษฐกิจจีนในภาพรวมจะขยายตัว 4-5% ชะลอลงกว่าในอดีตที่เคยขยายตัว 7-8% แต่ด้วย Exposure ของไทยกับจีนที่มีค่อนข้างสูงทั้งในมิติการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุน ล่าสุดหากพิจารณาตัวเลข FDI Inflow 3 ไตรมาสแรกปี 2566 พบว่า นักลงทุนจีนกลายมาเป็นนักลงทุนอันดับ 1 ในไทยอีกครั้ง และมีมูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเกือบ 120% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวจีนที่เริ่มทยอยกลับมาก็ยังถือเป็นโอกาสส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด อาทิ ผลไม้ อาหาร ขนมขบเคี้ยว เครื่องสำอาง เครื่องใช้ในบ้าน เป็นต้น

“ตลาดโต” ตลาดใหม่ในหลายภูมิภาคที่เติบโตได้อย่างโดดเด่นแม้ภาพรวมการส่งออกไทยปี 2566 จะมีแนวโน้มหดตัว 1-2% แต่ก็ยังมีตลาดใหม่ในหลายภูมิภาคที่นับว่าโตได้อย่างโดดเด่น เช่น ตลาดตะวันออกกลาง โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบียที่กลับมาสานสัมพันธ์กับไทยอีกครั้งตั้งแต่ต้นปี 2565 ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ช่วยหนุนให้การส่งออกของไทยไปซาอุดีอาระเบียขยายตัวเฉลี่ยเกือบ 30% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดอเมริกากลางมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะเม็กซิโกที่เป็นฐานการผลิตสำคัญอันดับ 1 ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และสิ่งทอ อีกทั้งการมีข้อตกลงการค้าเสรี CAFTA-DR ทำให้ผู้ส่งออกไทยสามารถใช้ภูมิภาคนี้เป็น Springboard ส่งต่อไปยังตลาดสหรัฐฯ และแคนาดาได้อีกทางหนึ่ง ตลาดเอเชียกลางประกอบด้วยคาซัคสถาน อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน ทาจิกิสถาน และคีร์กีซสถาน ซึ่งมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างดีเฉลี่ยราว 4% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ปี 2567-2571) และมีจุดเด่นจากการเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของโลก


อีกทั้งความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเอเชียกับยุโรป ทำให้เศรษฐกิจของประเทศกลุ่มนี้มี Potential ที่จะเติบโตต่อเนื่องได้ไม่ยาก นอกจากนี้ ยังมีตลาดแอฟริกา สินค้าเกษตรของไทยเป็นที่ต้องการจากความกังวลเรื่อง Food Security สะท้อนได้จากสินค้าส่งออกไทยหลายรายการเติบโตสูง อาทิ ข้าว (11 เดือนแรกขยายตัว 30%) ผลไม้กระป๋อง (22%) เป็นต้น รวมถึงสินค้าขั้นกลางที่ยังมีโอกาสขยายตัวได้ โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตการลงทุนหลักของภูมิภาคนี้

“ตลาดรวย” ตลาดหลักที่มีกำลังซื้อสูงตลาดที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น มี Impact ต่อการส่งออกไทยสูงสุดด้วยสัดส่วนรวมกันกว่า 1 ใน 3 ของส่งออกรวม แม้หลายฝ่ายจะคาดว่าเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้จะชะลอลงในปี 2567 แต่ก็ไม่ถึงขั้น Recession เป็นเพียงการชะลอแบบ Soft Landing ประกอบกับการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลังเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และยุโรปชะลอลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 3.1% และ 2.4% ตามลำดับ ขณะที่ Dot Plot ล่าสุด ณ เดือนธันวาคม 2566 ของ Fed ชี้ว่ามีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง 3 ครั้ง ภายในปี 2567 อีกทั้งเป็นปีที่สหรัฐฯ จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน 2567 ก็มักจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา สิ่งเหล่านี้จะช่วยบรรเทาต้นทุนทางการเงินและหนุนกำลังซื้อชาวอเมริกันให้ไปต่อ

ในส่วนของญี่ปุ่น แม้หลายฝ่ายคาดว่าจะมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากติดลบมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปี แต่ก็ยังถือเป็นประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดในโลก และหากมองอีกมุมหนึ่ง การปรับดอกเบี้ยขึ้นดังกล่าวอาจสะท้อนว่าญี่ปุ่นกำลังจะหลุดพ้นภาวะเงินฝืดที่กัดกินเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้เติบโตเฉลี่ยไม่ถึง 1% มาอย่างยาวนาน สิ่งที่เกิดขึ้น สะท้อนถึงโอกาสใน 3 ตลาดดังกล่าวที่ยังมีอยู่และต้องรักษาไว้ แต่ผู้ส่งออกต้องสร้างจุดเด่น Embed กระแสนิยมใหม่ ๆ เข้าไป โดยเฉพาะกระแสรักษ์โลกที่สอดรับกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมในตลาดเหล่านี้ซึ่งจะเข้มงวดมากขึ้นทั้งมาตรการ CBAM EUDR CCA เป็นต้น

“ตลาดใกล้” ตลาดเพื่อนบ้านอย่างอาเซียนแม้การส่งออกของไทยไปตลาดนี้ในปี 2566 จะดูไม่สดใสนัก สะท้อนได้จากมูลค่าส่งออก 11 เดือนแรกหดตัว 8% จากปัจจัยด้านราคาที่ส่งผลต่อการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการ อาทิ น้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง เหล็ก เป็นต้น แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าภูมิภาคอาเซียนยังมีเศรษฐกิจที่เติบโตได้เฉลี่ย 4-5% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และเป็นภูมิภาคที่ได้อานิสงส์มากที่สุดจากการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติเพื่อบรรเทาผลกระทบจาก Decoupling สะท้อนได้จากมูลค่า FDI Inflow ในภูมิภาคนี้เติบโตเฉลี่ย 20% ตั้งแต่เกิดโควิด-19 ซึ่งการที่ไทยมี Strategic Location ที่เป็นไข่แดงของภูมิภาคก็ถือเป็นความได้เปรียบที่จะสร้างโอกาสการค้าการลงทุนได้อีกมาก

โดยเฉพาะในตลาด CLMV (กัมพูชา สปป ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ที่มีการเชื่อมโยง Supply Chain กับไทยในหลายอุตสาหกรรม ตลอดจนผู้บริโภคในประเทศเหล่านี้ก็มีวัฒนธรรมคล้ายไทยและยังได้รับอิทธิพล Soft Power จากไทยค่อนข้างมาก ก็ถือเป็นแรงส่งสำคัญที่จะช่วยหนุนการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องได้ โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค
ถึงเวลาที่ผู้ส่งออกไทยต้องเตรียมกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อเจาะและกระจายตลาดส่งออกอย่างสมดุล ควบคู่ไปกับกลยุทธ์เชิงรับในการป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ โดย EXIM BANK พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการไทยอย่างครบวงจรเพื่อก้าวออกไปคว้าโอกาสใหม่ ๆ บนเวทีการค้าโลกที่เปิดกว้างมากขึ้นในปีมังกรกำลังจะมาถึง.-515 สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ลิณธิภรณ์” แจงปมสะกดคำผิด ยอมรับผิดพลาดพร้อมแก้ไข

กระทรวงวัฒนธรรม 4 ก.ค.- “ลิณธิภรณ์” ยอมรับดรามาใช้ภาษาไทยสะกดคำผิด พร้อมแก้ไขปรับปรุงตัว รับปากจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก บอก บางครั้งรีบพิมพ์ไม่ได้ตรวจทาน ทำเกิดผลเสียทุกวันนี้ แจงมีปัญหาสุขภาพ อาจทำให้ออกเสียงควบกล้ำไม่ได้ น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ถึงดรามาเรื่องการใช้ภาษาไทยในโซเชียลมีเดีย ว่า ตนขอยอมรับอย่างซื่อตรง ว่าบางครั้งในการสะกดคำของตนเองก็มีความผิดพลาด ซึ่งบางครั้งใช้การพิมพ์ด้วยเสียงผ่านโทรศัพท์มือถือ และได้โพสต์ข้อความไปแล้ว ก่อนจะมารู้ตัวอีกทีก็ผ่านไป 2-3 ชั่วโมง มันเป็นความผิดพลาด อันนี้ตนยอมรับด้วยความจริงใจ และวันนี้ตนก็เข้าใจดีว่าเมื่อมานั่งตำแหน่งตรงนี้ สิ่งที่จำเป็นต้องทำ คือต้องปรับปรุง และคิดว่าหลังจากนี้ความผิดพลาดเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะตนก็อยากเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กและเยาวชน ของประเทศเหมือนกัน รวมถึงอีกสิ่งที่ตนอยากจะบอกคือการออกเสียงควบกล้ำ ซึ่งเป็นผลกระทบ จากปัญหาสุขภาพ แต่ส่วนหนึ่งตนก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า วันนี้ตนเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในภาพนโยบายใหญ่ คงต้องขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยใน รายละเอียดที่ชัดเจน และจะเข้ากระทรวงพร้อมกันในวันที่ 8 กรกฎาคม สำหรับตนหากใครที่เคยติดตาม ก็เคยเป็นคนหนึ่งที่ พูดเรื่องการศึกษาในส่วนของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด ตั้งแต่เป็นโฆษกพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะเรื่องการลดค่าสอบทีแคส (TCAS) รวมถึงเรื่องการทำโครงการ ด้านสุขภาพภาวะจิต และอาจจะเป็นโครงการหนึ่งที่ตนจะสานต่อ […]

มอบ “จิราพร” เข้าร่วมประชุมผู้นำ BRICS ที่บราซิล

ทำเนียบ 3 ก.ค.-มอบ “จิราพร” เข้าร่วมประชุมผู้นำ BRICS ครั้งที่ 17 ที่บราซิล 6-7 ก.ค.นี้ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมผู้นำกลุ่ม BRICS ครั้งที่ 17 ระหว่างวันที่ 6 – 7 กรกฎาคม 2568 ร่วมกับผู้นำจาก 10 ประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS และประเทศหุ้นส่วนจากหลากหลายประเทศ ที่นครรีโอเดจาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล โดยไทยเข้าร่วมในฐานะประเทศหุ้นส่วนของกลุ่ม BRICS (Partner Country) สำหรับการประชุมผู้นำกลุ่ม BRICS จะจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “เสริมสร้างความร่วมมือโลกใต้เพื่อการสร้างธรรมาภิบาลที่ครอบคลุมและยั่งยืนยิ่งขึ้น โดยบราซิลในฐานะประธานกลุ่ม BRICS ปีนี้ ให้ความสำคัญกับประเด็นหลัก 6 ด้าน ได้แก่ (1) สาธารณสุข (2) การค้า การลงทุน และการเงิน (3) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (4) ธรรมาภิบาลของปัญญาประดิษฐ์ […]

Hun Sen, at event marking ruling party's 74th founding anniversary

ฮุน เซน เรียกร้องปั๊ม ปตท. งดนำเข้าน้ำมันจากไทย

พนมเปญ 3 ก.ค.- นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ยังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเรียกร้องให้เจ้าของปั๊ม ปตท.เลิกนำเข้าน้ำมันจากไทย และหันไปนำเข้าจากประเทศอื่นแทน สื่อของกัมพูชารายงานว่า นายฮุน เซน พูดถึงเรื่องนี้ในระหว่างการประชุมกับครูและนักเรียนที่ศูนย์การศึกษาและฝึกอบรมในจังหวัดไพรแวงในวันนี้ เรียกร้องให้เจ้าของปั๊มน้ำมัน ปตท.ทุกแห่งในกัมพูชาเลิกนำเข้าน้ำมันจากไทย และหันไปนำเข้าน้ำมันจากประเทศอื่น ๆ แทน ไม่ว่าจะเป็นจากเวียดนาม  มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อปั๊ม แม้ว่า ปตท.จะเป็นรัฐวิสาหกิจของไทยก็ตาม นอกจากนี้นายฮุน เซนยังพูดถึงเรื่องที่ไทยเคยขู่ว่าจะตัดไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต ห้ามขายเชื้อเพลิง และอื่นๆ ให้กัมพูชาด้วยว่า เมื่อไทยขู่มากัมพูชาก็ตอบโต้ทันที กัมพูชาต้องพึ่งพาตนเองให้ได้เพื่อรับมือกับภัยคุกคามในอนาคตเหมือนกับที่กำลังเผชิญจากไทยในเวลานี้ แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากไทย แต่กัมพูชาก็ได้ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้ของกัมพูชา ประธานวุฒิสภากัมพูชาเน้นย้ำว่า มาตรการทั้งหมดที่กัมพูชาได้ดำเนินไปนั้นเป็นการตอบโต้โดยตรงกับภัยคุกคามจากฝ่ายไทย รวมทั้งการที่ไทยปิดด่านพรมแดนแต่เพียงฝ่ายเดียว เขาแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า การเจรจากับไทยจะเริ่มขึ้นได้ ต่อเมื่อฝ่ายไทยจะต้องยอมเปิดด่านทุกจุดอย่างเต็มรูปแบบเหมือนที่เคยทำก่อนวันที่ 7 มิถุนายนแล้วเท่านั้น.-816(814).-สำนักข่าวไทย

เปิด 7 จุดยืน “ปชน.” ทางออกประเทศหาก “แพทองธาร” พ้นเก้าอี้

กรุงเทพฯ 4 ก.ค. – พรรคประชาชนโพสต์เฟซบุ๊กแสดง 7 จุดยืน หาก “แพทองธาร” พ้นตำแหน่ง เปิดเงื่อนไขโหวตนายกฯ คนใหม่ พรรคประชาชนโพสต์เฟซบุ๊กแสดง 7 จุดยืน หาก “นายกฯ แพทองธาร” พ้นจากตำแหน่ง เพื่อนำพาประเทศไปสู่ทางออกที่จะเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับประชาชนทุกคน ดังนี้ 1.สิ่งที่ประเทศต้องการมากที่สุด คือรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีความชอบธรรม และสามารถตั้งทีมบริหารจากความรู้ความสามารถ ไม่ใช่จากการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง2.รัฐบาลที่จะมีคุณสมบัติดังกล่าวจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากสภาชุดปัจจุบัน ทางออกสำหรับประเทศจึงเป็นการจัดให้มี “การเลือกตั้งใหม่” โดยเร็ว3.รักษาการนายกฯ ควรประกาศให้ชัดเจนว่าจะใช้อำนาจที่ตนเองมี ในการเดินหน้าสู่การยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนผ่านคูหาเลือกตั้ง4.หากรักษาการนายกฯ ไม่ทำ และมีเหตุใดที่ทำให้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร พ้นจากตำแหน่ง กระบวนการในการเลือกนายกฯ คนใหม่ จะต้องนำไปสู่การได้มาซึ่งนายกฯ ที่พร้อมเดินหน้าสู่การยุบสภา5.เพื่อให้ประเทศไม่ถูกบีบไปสู่ทางตันหรือการใช้อำนาจนอกครรลองประชาธิปไตย เราพร้อมจะพิจารณาลงมติให้กับผู้เสนอตัวเป็นนายกฯ คนใหม่คนใดก็ตาม ที่ยอมรับ “เงื่อนไข” ในการเป็นรัฐบาลชั่วคราว โดยทางพรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมรัฐบาลและจะไม่มีใครจากพรรคประชาชนไปเป็นรัฐมนตรี 6.“เงื่อนไข” ในการเดินหน้าสู่การยุบสภา สำหรับนายกฯ คนใหม่ จะต้องประกอบไปด้วยอย่างน้อย6.1 การประกาศเส้นตายว่าจะยุบสภาภายในสิ้นปี6.2 การยืนยันภารกิจเฉพาะหน้าที่จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว (เช่น การดำเนินการให้มีการจัดประชามติพร้อมกับการเลือกตั้ง เพื่อถามประชาชนเรื่องการมี […]

ข่าวแนะนำ

ทลายบ่อนกลางกรุง พบเจ้ามือเป็นชาวกัมพูชา

กทม. 4 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เอาจริง สั่งจัดระเบียบสังคมทันที หลังรับตำแหน่ง มท.1 ประเดิมงานแรก สั่งการชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง บุกทลายบ่อนพนันกลางกรุง หลังมีประชาชนร้องเรียน พบเจ้ามือเป็นชาวกัมพูชา วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 เวลา 15.30 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง เปิดปฏิบัติการ “ปิดบ่อนสะพานใหม่” จับกุมบ่อนการพนันกลางกรุง โดยชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง พร้อมด้วย นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ รองอธิบดีกรมการปกครอง นายเรืองลักษณ์ เรืองยังมี ผู้อำนวยการสำนักการสอบสวนและนิติการ นายอิสรา เจริญศรี ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการกองอาสารักษาดินแดน และนายศักดิ์ชัย โรจนรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง สนธิกำลังพนักงานฝ่ายปกครอง พร้อมด้วยสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ทลายบ่อนการพนันขนาดใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ในชุมชนสะพานใหม่ เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร […]

ทบ.ยันไม่รุนแรง เหตุทหารไทยเจอทหารเขมร

กองทัพบก 4 ก.ค.-ทบ.ยันไม่รุนแรง เหตุทหารไทยเจอทหารเขมร หลังลาดตระเวนพื้นที่อ้างสิทธิ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา บ่อยขึ้น จากกรณีเฟซบุ๊กเพจ “Army Military Force” โพสต์คลิปทหารพรานของไทยปะทะคารมกับทหารกัมพูชา ที่กำลังพยายามรุกลํ้าเข้ามาในดินแดนไทย ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีอาวุธปืนครบมือนั้น พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารีว่า ชุดลาดตระเวนของกองร้อยทหารพรานที่ 2304 ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ได้ทำการลาดตระเวนพื้นที่ ตรวจพบความเคลื่อนไหวของกำลังทหารกัมพูชา ในบริเวณจุดชมวิวภูผี ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อ้างสิทธิ์ตามแนวชายแดน ใกล้บริเวณปราสาทโดนตวล และเขาพระวิหาร และบริเวณเส้นทางลาดตระเวนใกล้เคียง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายไทยมีการลาดตระเวนตรวจตราอย่างต่อเนื่อง จึงได้เข้าทักทายเจรจากัน และแยกย้ายกันไป ไม่มีเหตุความรุนแรงใด พล.ต.วินธัย กล่าวต่อว่า ในช่วงที่ผ่านมา หลายจุดพบกำลังทหารกัมพูชามาลาดตระเวนในพื้นที่อ้างสิทธิ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา บ่อยขึ้น และบางครั้งมีเจ้าหน้าที่ระดับผู้บังคับหน่วยของกัมพูชาร่วมลงพื้นที่ด้วยตนเอง เมื่อมาพบเจอกับฝ่ายทหารไทยก็จะมีพูดทักทายกัน และบางครั้งก็อาจจะมีแสดงออกทางอารมณ์ในลักษณะเหมือนถกเถียงกันบ้าง แต่ทั้งหมดไม่ถึงขั้นตั้งใจจะใช้ความรุนแรงต่อกัน เพราะต่างฝ่ายต่างระมัดระวังไม่ให้มีการละเมิดข้อตกลง และต้องยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี ตามแนวทางผู้บังคับบัญชา.-313.-สำนักข่าวไทย

นักธรณีวิทยา​ย้ำไม่มีสัญญาณ​สึนามิ​เข้าไทย​ ไม่ต้องตระหนก

กรุงเทพฯ​ 4 ก.ค. – ผู้เชี่ยวชาญทางธรณีวิทยา ย้ำขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณทางวิทยาศาสตร์​บ่งชี้ว่า​จะเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่อาจทำให้เกิดคลื่นสึนามิซัดเข้าสู่ประเทศไทย​ จากกรณีเกิดแผ่นดินไหวต่อเนื่องบริเวณหมู่เกาะนิโคบาร์และสุมาตรา ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก แนะติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างต่อเนื่อง ศ.ดร.สันติ ภัยหลบลี้ อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้แจงว่า แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในช่วง​ 1-2​ สัปดาห์ที่ผ่านมา บริเวณใกล้หมู่เกาะนิโคบาร์และสุมาตรา เป็นการเลื่อนตัวในแนวราบ ไม่ใช่แนวดิ่ง จึงไม่เข้าลักษณะที่จะทำให้เกิดคลื่นสึนามิได้ ขณะเดียวกัน จากการติดตามข้อมูลยังไม่พบสัญญาณทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ ที่บ่งชี้ว่า​ จะมีการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกในแนวดิ่ง ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเกิดคลื่นสึนามิ ศ.ดร.สันติ กล่าว​ว่า​ ก่อนหน้านี้​เรารู้​จักแนวมุดตัวของเปลือก​โลก​บริเวณ​หมู่เกาะ​นิโคบาร์​-สุมาตรา ที่หากมีการเคลื่อนตัวจะมีโอกาส​เกิดสึนามิ​ แต่ล่าสุด​พบ​ว่า​ มีแนวภูเขาไฟ​ใต้น้ำ​บริเวณ​หมู่เกาะ​สุมาตรา​ที่​ไม่เคยปะทุมาก่อนและบอกไม่ได้​ว่าจะปะทุ​เมื่อ​ใด ซึ่งนักธรณีวิทยา​และหน่วยงาน​ด้านภัยพิบัติ​จะต้องติดตาม​อย่างต่อเนื่อง​ต่อไป​ ทั้งนี้ แม้ในอดีตจะเคยเกิดสึนามิจากรอยเลื่อนสุมาตราที่เกิดการมุดตัวของเปลือกโลก​ แต่ย้ำว่า​ เหตุการณ์ปัจจุบันไม่มีตัวชี้วัดในลักษณะเดียวกัน จึงขอให้ประชาชนอย่ากังวลเกินควร อย่างไรก็ตาม การตื่นรู้ต่อภัยพิบัติเป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะการใช้เครื่องมือสื่อสาร เช่น แอปพลิเคชันกรมอุตุนิยมวิทยา การติดตามข้อมูลจากภาครัฐ และระบบแจ้งเตือนภัยในท้องถิ่นเช่น Cell Broadcast​ ที่​ภาครัฐ​เร่งดำเนินการ​สำหรับ​แจ้ง​เตือน​ภัยพิบัติ​ต่าง​ ๆ ให้​ครอบคลุม​ทั่วประเทศ​ ทั้งนี้ ​การเตรียมความพร้อมคือเรื่องสำคัญ รัฐเองก็พยายามส่งสัญญาณให้ถึงประชาชนโดยเร็ว […]

“แพทองธาร” หารือผู้บริหาร ก.วัฒนธรรม

ก.วัฒนธรรม 4 ก.ค.-“แพทองธาร” หารือผู้บริหาร ก.วัฒนธรรม แจงข่าวปลอมไทยคืนวัตถุโบราณ 20 รายการ ให้กัมพูชาไม่จริง ชี้ทำตั้งแต่ “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์” พร้อมสั่งเบรกจัดสรรงบฯ คืนวัตถุโบราณกัมพูชา จ่อแจ้งความคนปล่อยเฟกนิวส์ ปลุกปั่น “กลุ่มปราสาทตาเมือน” ยันอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยไทย ช่วงบ่ายวันนี้ (4 ก.ค.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม โดย น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นการประชุมครั้งแรก มีข้อที่อยากจะฝากเอาไว้ และอยากจะให้ช่วยกันผลักดัน รวมถึงอยากจะอัปเดตข้อมูลให้ฟัง ซึ่งวันนี้ตนได้ทำการบ้านมาเล็กน้อย และรู้สึกดีใจที่จะได้ฟังจากทุกคนว่า แต่ละหน่วยงานแต่ละฝ่ายทำอะไรกันอยู่บ้าง และในกระทรวงฯ มีอะไรที่อยากให้ดำเนินการเพิ่มเติมบ้าง ประเด็นแรก อยากจะขอชี้แจงเรื่องข่าวปลอม เรื่องการส่งคืนวัตถุโบราณ จำนวน 20 รายการ ให้กับประเทศกัมพูชา ตนขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เพราะการคืนวัตถุโบราณให้กับประเทศกัมพูชา มีมาตั้งแต่สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2558 ซึ่งประเทศไทยได้คืนไปแล้ว […]