กรุงเทพฯ 20 ธ.ค. – บล.เอเซีย พลัส มองเป้าดัชนีหุ้นไทยปีหน้า 1,795 จุด พร้อมแนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นไทยเป็นร้อยละ 50
นางภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส กล่าวว่า เอเซีย พลัสมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 2562 ไว้ที่ 1,795 จุด พร้อมทั้งคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นลดลงเหลือ 112.2 บาทต่อหุ้น จากเดิม 115 บาทต่อหุ้น โดยประเมินว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตเพียงร้อยละ 3.3 เมื่อเทียบจากปีก่อนหน้า เนื่องจากมีการปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันปี 2562 ลดลง 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จาก 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล มาที่ 65 เหรียญสหรัฐ/ต่อบาร์เรล เทียบกับค่าเฉลี่ย 70.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปี 2561 ส่งผลให้มีการปรับลดกำไรกลุ่มพลังงานลงกว่า 25,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังปรับลดกำไรกลุ่มปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้าง และกลุ่มไอซีที ลงด้วย
อย่างไรก็ตาม มองว่าเงินลงทุนต่างชาติมีโอกาสจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรก หลังจากการเลือกตั้งมีความชัดเจน ซึ่งในช่วงก่อนหน้านี้เมื่อรัฐบาลกำหนดวันเลือกตั้งทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปร้อยละ 4.88 และมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาประมาณ 8,290 ล้านบาท จึงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยเป็นร้อยละ 50 จากเดิมที่ร้อยละ 40
ส่วนสงครามการค้าคงจะมีผลกระทบเศรษฐกิจไทย ทำให้คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 2562 จะขยายตัวประมาณร้อยละ 3.5 ชะลอตัวลงจากร้อยละ 4 ในปีนี้ โดยภาคการส่งออกจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้น้อยลง เนื่องจากความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกยังมีอยู่ จึงเน้นแนะนำให้เลือกลงทุนหุ้นรายตัวที่มีการเติบโตตามเศรษฐกิจในประเทศและเติบโตต่อเนื่อง ได้แก่ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น KBANK, BBL หุ้นส่งออกที่ปรับตัวจากผลกระทบการค้าโลกได้ HANA หุ้นสาธารณูปโภค SCC, STEC, WHA หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภาคครัวเรือน ADVANC, DTAC, BJC, CPALL, PLANB
นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยระยะสั้นจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ อยู่ที่ประมาณ 1,600 – 1,650 จุด โดยมองว่าตลาดปีนี้จนถึงปลายปียังคงไม่มีความเคลื่อนไหวมากนัก ซึ่งปัจจัยหลัก ๆ ที่มีผลกระทบต่อตลาดเกิดจากปัจจัยภายนอกประเทศ ได้แก่ สงครามการค้า และการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ซึ่งอาจยืดเยื้อถึงช่วงต้นปีหน้า แต่ปัจจัยภายในประเทศไม่มีสิ่งใดที่น่ากังวล อย่างไรก็ตาม มองว่าหลังจากมีการเลือกตั้งปี 2562 เป็นที่เรียบร้อยแล้วจะส่งผลให้นโยบายเศรษฐกิจต่าง ๆ เกิดความคืบหน้าซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดภายในประเทศ.-สำนักข่าวไทย