สธ.22 พ.ย.-แพทย์ผิวหนังอธิบายหลังมีการแชร์เรื่องราวของเด็กหญิงคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคทางผิวหนัง ชี้เป็นลักษณะของโรค4S ซึ่งเป็นโรคที่อาจไม่คุ้นหู เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus โดยเชื้อจะปล่อยท็อกซินออกมาทำให้ชั้นผิวหนังกำพร้ามีการหลุดลอกแบบตื้นๆ พร้อมเผยวิธีการรักษาของแพทย์
นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์และโฆษกกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า จากกรณีการเสนอข่าวเฟซบุ๊กชื่อว่า “คุณหญิง ฉัตรเพชรฯ” โดยเล่าเรื่องราวของเด็กหญิงอายุ 5 เดือน 5 วัน ป่วยเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง มีอาการผิวหนังเริ่มด้วยอาการหลุดลอกมีจุดเล็กๆสีเหลือง หนังที่แดงเริ่มปริออกเหมือนคนถูกน้ำร้อนลวก ผิวหนังแดงที่เบ้าตา 2 ข้าง รอบปาก ร้องงอแง ซึ่งได้ไปพบแพทย์วินิจฉัยว่าเด็กมีการติดเชื้อทางผิวหนังอย่างรุนแรง ต้องให้ยาปฏิชีวนะ ถ้าไม่ทันอาจติดเชื้อเข้ากระแสเลือดถึงแก่ชีวิต นั้น จากข้อมูลดังกล่าวพบว่า โรค 4S (Staphylococcal Scalded Skin Syndrome) นี้พบได้บ่อยในกลุ่มเด็กทารกและเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปีรวมถึงมีโอกาสเกิดกับผู้ใหญ่ที่มีโรคไตด้วย เนื่องจากไม่มีภูมิต้านทานต่อ ท็อกซินและไตไม่สามารถทำงานได้ดีในการขับท็อกซินออกไปจากร่างกาย
โดยอาการของโรค 4S คือเด็กจะมีอาการไข้ อ่อนเพลีย ตัวแดง ร้องงอแง เจ็บบริเวณผิวหนัง โดยอาจมีน้ำมูกไหล มีหนอง เยื่อบุตาอักเสบ ติดเชื้อแบคทีเรียที่สะดือ หูน้ำหนวก หากไม่ได้รับการรักษา จะทำให้เชื้อกระจายมากขึ้นหรือได้รับเชื้อโรคจากผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อดังกล่าวได้
พญ.มิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ลักษณะผื่นที่ผิวหนัง คือ มีผิวแดงและเจ็บ พบได้บ่อยบริเวณใบหน้า ผื่นรอบตา รอบปาก ก้น ซอกพับ ผื่นสามารถกระจายไปทั่วตัวอย่างรวดเร็วใน 1-2 วัน จากนั้นจะสังเกตเห็นการลอกของผิวหนัง ซึ่งเกิดจากการแยกตัวของหนังกำพร้าชั้นตื้น มีแผลถลอกตื้น ๆ หรือเป็นแผ่นและสะเก็ด ลักษณะจำเพาะคือสะเก็ดลอกจะเรียงเป็นเส้นๆ ในแนวรัศมี รอบปาก และดวงตา การวินิจฉัยแยกโรค ต้องแยกกับอาการแพ้ยา โรคคาวาซากิ ผิวไหม้จากแดด
สำหรับการรักษาโรคนี้รักษาให้หายได้ด้วยยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำเพื่อกำจัดเชื้อที่สร้างท็อกซิน ให้สารน้ำให้เพียงพอเนื่องจากผู้ป่วยมีการสูญเสียน้ำทางผิวหนังมากกว่าปกติ ขณะที่การรักษาจะเป็นการรักษา ตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้และแก้ปวด ร่วมกับการดูแลแผล โดยผิวหนังจะหายเป็นปกติหลังจากผื่นหาย อย่างไรก็ตามในเด็กเล็กหรือผู้ที่มีภูมิต้าน ทานต่ำ จะต้องระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิด เช่น ภาวะขาดสารน้ำ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต.-สำนักข่าวไทย