นนทบุรี 21 พ.ย. – พาณิชย์เผยส่งออกเดือน ต.ค.กลับมาเป็นบวกร้อยละ 8.7 หลังผู้ส่งออกคลายกังวลสงครามการค้าสหรัฐและจีน มั่นใจทั้งปีร้อยละ 8 ส่วนปีหน้าเป้าอยู่ร้อยละ 8 เช่นกัน
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ได้รายงานสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของไทย หรือการส่งออกเดือนตุลาคม 2561 พบว่า มีมูลค่า 21,757 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการกลับมาขยายตัวเป็นบวกที่ร้อยละ 8.7 จากเดือนกันยายน 2561 ติดลบร้อยละ 5.2 ตามการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันที่ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งมีการส่งออกทองคำ และอัญมณีและเครื่องประดับเพิ่มขึ้น แสดงว่าหลายประเทศยังมีความมั่นใจต่อภาวะตลาดโลก จึงมีความต้องการนำเข้าสูงขึ้น และการส่งออกสินค้าเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 12.2 ยกเว้นยางพาราที่ยังลดลงต่อเนื่องทั้งปริมาณและราคา เช่นเดียวกับตลาดส่งออกหลักทั้งสหรัฐขยายตัวร้อยละ 7.2 สูงสุดในรอบ 6 เดือน และญี่ปุ่น ขยายตัวถึงร้อยละ 18.7 สูงสุดในรอบ 8 เดือน รวมถึงจีนที่กลับมาขยายตัวได้ร้อยละ 3 หลังจากหดตัวเดือนก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการส่งออกไปตลาดสหรัฐและจีนจะยังขยายตัว แต่ต้องยอมรับว่าไทยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมาผลจากมาตรการทางตรงของสหรัฐที่กระทบต่อการส่งออกโซล่าเซลล์และเครื่องซักผ้า เมื่อมาหักลบกับสินค้าที่ไทยได้ประโยชน์จากที่ส่งออกไปสหรัฐทดแทนประเทศจีน เช่น ยานพาหนะและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เหล็ก และเครื่องจักรนั้น ไทยยังได้ประโยชน์ประมาณ 146 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การนำเข้าเดือนตุลาคม 2561 ขยายตัวร้อยละ 11.2 คิดเป็นมูลค่า 22,758 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการนำเข้า 10 เดือนแรกของปี ขยายตัวร้อยละ 14.8 คิดเป็นมูลค่า 208,929 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ไทย 10 เดือนแรก ยังเกินดุลการค้า 2,559 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ การส่งออก 10 เดือนแรกของปียังขยายตัวร้อยละ 8.2 คิดเป็นมูลค่าการส่งออกที่ 211,488 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ยังมั่นใจว่าการส่งออกปีนี้จะขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ร้อยละ 8 โดยในช่วง 2 เดือนที่เหลือจะต้องผลักดันการส่งออกให้ได้เฉลี่ยเดือนละ 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนปี 2562 กระทรวงพาณิชย์ยังตั้งเป้าหมายการส่งออกไว้ที่ร้อยละ 8 รวมมูลค่ากว่า 276,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าเตรียมเสนอให้มีการจัดตั้งคณะงานเฉพาะกิจยุทธศาสตร์การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลง.-สำนักข่าวไทย