สุราษฎร์ธานี 15 พ.ย.- นายกสมาคมคนกรีดยางฯ ย้ำเกษตรกรออกมารวมตัววานนี้มุ่งสู่โคออปสุราษฎร์ฯ ไม่มีนัยแอบแฝงหรือการเมือง แต่เกิดความเดือดร้อนราคายางดิ่งหนัก และต้องยุติเคลื่อนไหวกลางคันได้ข่าวมือที่สามเตรียมป่วน อีกทั้งรัฐบาลขอเวลาอีกไม่นานเร่งแก้ปัญหาให้
กรณีกลุ่มชาวสวนยางนัดเคลื่อนไหวนำขบวนรถออกจากจุดรวมพลจากบ้านควนหนองหงส์ อ.ชะอวด , อ.ร่อนพิบูลย์ , อ.ทุ่งสง , อ.ถ้ำพรรณรา จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่เที่ยงวานนี้ (14 พ.ย.) เพื่อมุ่งหน้ามายังสหกรณ์สุราษฎร์ธานี จำกัด (โคออป) อ.พุนพิน เพื่อแสดงสัญลักษณ์ในการเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือปัญหาราคายางตกต่ำ
ปรากฏว่านายมนัส บุญพัฒน์ นายกสมาคมคนกรีดยางและชาวสวนยางรายย่อย (ส.ค.ย.) ที่นำขบวนรถยนต์ทั้งหมด 50 คัน และชาวสวนยางประมาณ 100 คน ประกาศยุติการเดินทางต่อไปยังโคออปแล้ว ขณะเคลื่อนมาถึงจุดที่ 3 เมื่อเวลา 17.00 น.ของวันเดียวกัน ใกล้สี่แยกยางอุง หมู่ 1 ต.น้ำพุ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี
นายมนัส กล่าวว่า จากมติที่ประชุมเมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา ชาวสวนยางพาราจะนำยานพาหนะที่เกี่ยวกับยางพารามาขับเคลื่อนตามถนนเท่านั้น โดยไม่ได้เป็นการประท้วง ชุมนุม หรือก่อความวุ่นวาย และตลอดการเดินทางได้มีการแถลงข่าวแต่ละจุด ก่อนมาแถลงยุติการเดินทางที่จุดนี้ เพราะรัฐบาลบอกว่าจะแก้ไข แต่ถ้าไม่มีความคืบหน้าก็จะขับเคลื่อนอีกครั้ง ขอย้ำว่าการออกมาเคลื่อนไหวเพราะเป็นความเดือดร้อนของเกษตรกร ไม่มีกลุ่มใดหรือการเมืองหนุนหลัง
“ที่รัฐบาลบอกจะใช้เวลา 7 วันแก้ปัญหา แม้พวกผมยังไม่ค่อยมั่นใจ แต่ก็จะรอดู ผลจะออกมาอยู่ที่การกระทำ เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางความลำบากมานานแล้วและไม่ได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะราคายางดิ่งหัวลงทุกวัน ”
ด้านนายไพโรจน์ ฤกษ์ดี หรือทนายแดง กลุ่มเกษตรชาวสวนยางพาราบ้านส้อง อ.เวียงสระ และผู้ประสานงานเครือข่ายปัญหาราคายางพาราใน จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ที่จำเป็นต้องยุติเดินทางกลางคัน เพราะได้รับแจ้งจากส่วนล่วงหน้าจะมีมือที่สามเข้าป่วนกลุ่มชาวสวนยางบริเวณโคออป เนื่องจากเป็นเวลามืดแล้วจะมีการสร้างสถานการณ์วุ่นวายโยนความผิดให้กลุ่มชาวสวนยางกระทำผิด พ.ร.บ.ชุมนุม เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้หารือกับนายมนัส และแจ้งยุติการเดินทางทันที อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง ทำให้รัฐบาลสนใจที่จะแก้ปัญหาราคายางพาราใน 7 วัน ซึ่งจะรอดูว่าจะทำได้หรือไม่ หากไม่มีผลอะไรออกมา อาจต้องเข้ามาที่ทำเนียบรัฐบาล.-สำนักข่าวไทย