สมคิดบอกนายกฯคนต่อไปหน้าคล้ายคนเดิม

กรุงเทพฯ 31 ต.ค.- “สมคิด” เชิญชวนนักธุรกิจต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย พร้อมย้ำ 5 โครงการหลักของอีอีซี อนุมัติก่อนเลือกตั้งแน่ สังหรณ์ใจว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่หน้าตาจะคล้ายคนเดิม


นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา Forbes Global  CEO Conference ครั้งที่ 18 โดยชักชวนผู้บริหารระดับสูงของธุรกิจต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยให้เหตุผลว่า  แม้ประเทศไทยจะเผชิญความท้าทายด้านต่าง ๆ อย่างมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในที่สุด แต่ทุกวิกฤตการณ์ มีโอกาสอยู่เสมอ รัฐบาลได้ใช้เวลาเพียง 3-4 ปีที่ผ่านมา นำความสงบ สร้างเสถียรภาพทางการเมืองให้กลับคืนมา พร้อมกับหยุดการถดถอยทางเศรษฐกิจ พร้อมกันนี้ยัง วางรากฐานสำคัญที่จะสร้างศักยภาพความเข้มแข็งในอนาคตให้กับประเทศ ซึ่งแม้ทำไม่ได้ทั้งหมด ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่เป็นการเริ่มต้นที่มุ่งมั่นและจริงจัง และเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่มุ่งการปฏิรูปประเทศเช่นนี้  

นายสมคิด ยังกล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่า ตนจะไม่ระบุว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นแล้วหรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับว่า แต่ละคนคิดอย่างไร แต่บอกเพียงว่า 3 ปีที่ผ่านมา จากการเป็นประเทศผู้ป่วยแห่งอาเซียน ขณะนี้เศรษฐกิจไทยจากโตต่ำกว่าร้อยละ 1  เศรษฐกิจโตกระโดดขึ้นโตร้อยละ 4.8  แต่ไทยเป็นประเทศเดียวที่ได้รับการปรับจีดีพีให้สูงขึ้นจากกองทุนการระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)และจากธนาคารพัฒนาเอเชีย(เอดีบี) ไทยมีหนี้ต่างประเทศในสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 40 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) มีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศสูงถึง 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดุลบัญชีบัญชีเดินสะพัด ดุลชำระเงินเข้มแข็ง การปรับระดับต่าง ๆ ของไทยดีขึ้น นี่คือสิ่งที่รัฐบาลได้ทำมา


นายสมคิด กล่าวว่า ประเทศไทย จะมีการเลือกตั้งต้นปีหน้า นักลงทุนจำนวนมากสอบถามว่า โครงการต่าง ๆ จะสะดุดลงหรือต้องหยุดลงหรือไม่ จึงได้ตอบไปว่า โครงการลงทุนหลักสำคัญๆ ทีโออาร์ จะออกมาก่อนการเลือกตั้งแน่นอนโดยกฎหมายโครงการเหล่านี้ จะต้องเดินหน้าอยู่แล้ว ประเทศไทยมีคณะกรรมการปฎิรูปประเทศ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ประเทศ โดยรัฐธรรมนูญไทยการจะไม่ทำตามไม่ใช่เรื่องทำได้ง่ายๆ 

“ผมมีลางสังหรณ์ว่า นายกฯ คนต่อไปอาจจะหน้าตาคล้ายๆ คนเดิม แต่ที่สำคัญคือ สิ่งที่รัฐบาลทำมา คนย่อมเห็นและเรารู้เมืองไทยไปได้ดีกว่านี้ ขอให้ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านพัฒนา อาเซียน CLMVT จะเป็นบิ๊กชอร์ตแห่งอนาคต ไม่ต้องกังวลกับจีดีพีที่ขึ้น ๆ ลงๆ ในระยะสั้น มองระยะยาว วันนี้ จึงมาพูดสร้างความมั่นใจว่า อาเซียนมีอนาคต สามัคคีกันเป็นมิตรกับทุกฝ่ายแล้วเราจะไปได้ดี” นายสมคิดกล่าว

นายสมคิด ยังระบุถึงตลาดหุ้นไทยว่า  ตลาดหุ้นของไทย ในขณะที่โลกปั่นป่วนเต็มไปด้วยความวิตกกังวล จากสงครามการค้า และปัญหาเศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่ แต่ตลาดทุนไทยถือเป็น  Save Haven ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในขณะนี้ แม้ตลาดหุ้นจะมีขึ้นมีลง แต่โดยปัจจัยพื้นฐานแล้วตนเชื่อว่า ในภูมิภาคนี้ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ด้อยไปกว่าตลาดหุ้นประเทศใดๆ  แม้ตลาดทุนไทยมีขนาดเล็กกว่าของสิงคโปร์ แต่มีขนาดที่ใกล้เคียงกัน บริษัทจดทะเบียนของไทยมีคุณภาพสูงเพราะผ่านวิกฤติต้มยำกุ้งในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา โดยเอกชนไทยได้รับบทเรียนและสร้างความเข้มแข็งมาแล้ว ดังนั้นวิกฤตการณ์เศรษฐกิจในปี ค.ศ.2008 เศรษฐกิจไทยจึงไม่ได้รับผลกระทบ จึงเป็นปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรงมากของตลาดทุนไทย ที่สำคัญประเทศไทยตั้งอยู่กลางของกัมพูชา ลาว เมียนมาร์และเวียดนาม  นักธุรกิจจึงสามารถเข้าไปทำธุรกิจและไปลงทุนตลาดเหล่านี้ได้


สิ่งสำคัญหลายคนยังกังวลว่า เศรษฐกิจโลกข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ซึ่งตนมองว่า เศรฐษกิจโลกในวันข้างหน้าจะไม่ดีนัก เศรษฐกิจโลกหดตัวแน่นอน จึงจะมีความผันผวนทางการเงินมาก สิ่งสำคัญคือ  ต้องไม่ประมาท ดังนั้นจึงได้กำชับให้ทุกกระทรวงไม่ประมาท เตรียมพร้อมไว้ เตรียมพร้อมดูแล กระทรวงพาณิชย์ให้ดูตลาดใหม่ๆ เช่น จีนหากเจาะตลาดระดับมลฑลได้ยังโอกาสยังมีหาศาล

ด้านอื่นๆ คือ การใช้จ่ายของรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงที่รัฐบาลลงทุนมาก หากเดินหน้าต่อไปจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในปีหน้า ด้านการท่องเที่ยวแม้ตกไปบ้างในช่วงนี้ แต่เชื่อว่า นักท่องเที่ยวจะกลับมาเที่ยวอีก และเชื่อว่าในอนาคตข้างหน้า ตลาดท่องเที่ยวไทยจะยิ่งใหญ่ และหากยังทำหน้าที่ต่อจะพัฒนาการท่องเที่ยวของไทยต่อไป แม้มีความเสี่ยงปีนี้ แต่จะรักษาแรงส่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจเอาไว้ ปีหน้าก็จะไปได้ดี ซึ่งบอกไม่ได้ แต่จะทำให้ดีที่สุด 

นายสมคิด กล่าวว่า  ในทุกวิกฤตมีโอกาส แม้เศรษฐกิจไม่ดี แต่ประเทศไทยมีประตูโอกาสอยู่หน้าบ้าน เพราะขณะนี้ อาเซียนเป็นตลาด ซัพพลายเชน แรงงาน โดยที่ประเทศไทยอยู่ตรงกลางของกลุ่มประเทศอาเซี่ยน  CLMVT ที่มีขนาดตลาดรวมกันมากถึง 250 ล้านคน มีการลงทุนเชื่อมต่อระหว่างกัน ซึ่งนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงในไทยขณะนี้ เข้ามาเพื่อตั้งสำนักงานใหญ่เข้าสู่ clmvt  ตะวันออกกลาง และเข้าสู่ตลาดเอเซียใต้ และไม่มีประเทศไหนที่อยู่ในจุดที่ดีเท่ากับประเทศไทย

และในช่วง 1-2 ปี ที่เกิดนโยบายต่างประเทศอเมริกามาก่อน (America first policy) ทำให้มีกิจกรรมในภูมิภาคนี้ ที่จะพยายามให้ก่อการค้าเสรีขึ้นทดแทน เช่น  การเปิดเสรีการค้าสินค้าภายในกรอบอาร์เซป อาเซี่ยนบวก 6 ประชากรครึ่งโลก ประเทศไทยมีที่ตั้งตรงกลาง  ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) เหลือเพียง 11 ชาติ ซึ่งประเทศไทยต้องการเป็นสมาชิก อินเดียญี่ปุ่น อเมริกาพยายามโปรโมท ภูมิภาคอินโดจีน และการสร้างทางรถไฟ เชื่อมจากจีนลงมาไทยอยู่ตรงกลาง ประเทศไทยที่แข็งแรงที่พัฒนา จะไม่เป็นจุดสนใจได้อย่างไร 

ที่สำคัญกว่านั้น จีนกำลังพัฒนา โครงการเส้นทางสายเศรษฐกิจ” หรือ“วันเบลต์ วันโรด” เส้นทางลงมาจากทางใต้ของจีนเส้นทางในส่วนของลาวไปได้ดีมาก ส่วนของไทยเริ่มก่อสร้างแล้ว ในอนาคตจะเชื่อมต่อ และแม้เส้นทางจบลงที่ประเทศไทยแต่ประโยชน์ได้เกิดแล้ว เพราะทุกคนลงจากจีนมาได้ การพัฒนาย่อมเกิดขึ้น  ประเทศไทยกำลังพัฒนาท่าเรือที่จังหวัดระนอง รถไฟรางคู่ตัดจากชุมพรสู่ระนอง เชื่อมระหว่างอ่าวไทยกับทะเลอันดามัน เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญมากกับไทย และความสัมพันธ์ไทยกับจีนยาวนาน และไทยเป็นประเทศแรกที่มีความสัมพันธ์ระดับสูงกับประเทศจีน วางยุทธศาสตร์ในการช่วยเหลือกันและกัน  

ดังนั้นตนจะเดินทางไปจีนต่ออีก 5 วัน แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ข้อตกการค้าเสรีไทยจีน แต่จะความร่วมมือเป็นพันธมิตรร่วมกัน และไม่เพียงจีน ประเทศไทยยังร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นด้วย โดยที่ผ่านมานักลงทุนญี่ปุ่น เข้ามาลงทุน 7,000-8,000 บริษัท ลงทุนในไทยที่อีสเทินร์ซีบอรด์ และมีความสำคัญลึกซึ้งมากระดับระดับสูงของเจ้าหน้าที่รัฐบาล ประเทศไทยจึงสามารถคิดได้ว่า จะบริหารอย่างไรเมื่อไทยเป็นสมาชิกความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี – เจ้าพระยา – แม่โขง ACMECS และขณะนี้เป็นครั้งแรกที่ได้มีการสร้างแผนแม่บทขึ้นมาได้ ทำให้ในอนาคตจีน ญี่ปุ่นไม่ต้องแข่งขันกัน ล่าสุดการประชุมที่ที่ปักกิ่งจีนและญี่ปุ่น จะยุติการแข่งขันที่ไม่สร้างสรรค์ แต่จะนำจุดแข็งมาลงทุนประเทศที่ 3 ซึ่งประ เทศที่ 3 มีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย และยังแสดงความสนใจเข้ามาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและสมาร์ทซิตี้ในอีอีซี ของไทยด้วย

นายสมคิด ระบุว่า ล่าสุด สัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับรายงานจากสำนักงาคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ระบุว่า  สงครามการค้า ส่งผลให้นักลงทุนจีนเข้ามายื่นโครงการเพื่อขอรับส่งเสริมการลงทุนมากขึ้น โดยเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI) โดยครึ่งปีแรกปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 40-50 เพราะหลายคนมองประเทศไทยเป็นทางออก ดังนั้นโอกาสจึงอยู่ที่ไทย และอยู่ที่ประเทศไทยจะปรับตัวเองได้หรือไม่ ซึ่งอนาคตมีหลายอย่างเป็นดิจิตอล รัฐบาลนี้พยายามผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงแต่ไม่ใช่เรื่องง่าย 

นายสมคิด กล่าวถึงความเหลื่อมล้ำว่า ยังมีอยู่มาก ซึ่งเรื่องนี้ เกิดขึ้น จากผลพวงการเมืองที่ไม่สามารถลงไปแก้ไขในระดับรากหญ้า มานานนับสิบ ๆ ปี  ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า  30,000 บาทต่อปีถึง 4 ล้านคน หากรวมกลุ่มที่มีรายได้ต่ำก่วา 100,000 บาทต่อปี มีจำนวนรวมประมาณ 11 ล้านคน และมีประชากร 20 ล้านคนขึ้นไปอยู่ในภาคการเกษตรซึ่งกลุ่มนี้ไม่ใช้เทคโนโลยี ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม หากไม่แก้ไข ประเทศจะหมดความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร ไม่ใช่ความผิดรัฐบาลนี้ แต่ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาที่ไม่ทุ่มเทกับสิ่งเหล่านี้  การเมืองเน้นเพียงการประกาศราคาสินค้า ฉะนั้นจึงเป็นปัญหาสั่งสมที่ต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ ซึ่งทุกประเทศมีปัญหาเหล่านี้  ไม่ใช่ไทยเท่านั้น จีน อเมริกา ก็มี ดังนั้นขึ้นกับความจริงจังของรัฐบาล

ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลนี้ต้องการคือ การปรับเปลี่ยนประเทศไทยใหม่ ดังนี้ เรื่องแรก การไม่มีเศรษฐกิจที่สมดุล เพิ่งพิงแต่การส่งออกเท่านั้น เมื่อเศรษฐกิจโลกถดถอยส่งออกลดลง ในเดือนที่ผ่านมาส่งออกไทยลดลงร้อยละ 5  จึงต้องหันมาให้ความสำคัญเศรษฐกิจฐานราก เปลี่ยนภาคเกษตร โดยหันมาเพิ่มมูลค่า เปลี่ยนการปลูกเชิงเดี่ยวเป็นปลูกแบบหลากหลาย มีผลิตภาพ มีการค้าออนไลน์ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดในไทย จึงไม่ของง่าย  แต่พยายามดำเนินการโดยมีหุ้นส่วนที่ดีช่วยเหลือทั้งจีน ญี่ปุ่นและสหรัฐ 

ประเทศ ไทยปัจจุบัน ไม่ใช่โปรดักชั่นเซ็นเตอร์ แต่ภาคบริการเป็นตัวนำ เพราะมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 60 ของจีดีพีเป็นภาคบริการ ทัวร์ การเงินธนาคาร และอื่น ๆ  จึงเป็นโอกาสที่ประเทศอื่น ๆ ไม่ค่อยจะมี โดยเฉพาะการท่องเที่ยวจะต้องได้รับการพัฒนา หากสามารถจนพานักท่องเที่ยวจากเมืองหลักออกไปเมืองรองออกสู่ภูมิภาค เช่น จากเชียงใหม่ ไปเชียงราย สู่พะเยา แพร่น่าน ต่อไปเรื่องนี้รัฐบาลนี้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยจัดงบประมาณแบบกลุ่มจังหวัดในการพัฒนา 

เรื่องที่ 2 ด้านการส่งออกต้องการสร้างมูลค่าเพิ่ม อุตสาหกรรมรถยนต์ต้องการรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้นและ เพื่อให้เกิดโครงการเหล่านี้ จึงออกโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี  และกำลังลงทุนสร้างเคเบิ้ลใต้น้ำกับจีนไปที่ฮ่องกงเพื่อให้ไทยเป็นอินเตอร์เนชั่นแนลเก็ตเวย์ได้

สำหรับภาคใต้ที่หลายสิบปีไม่เจริญ คนเที่ยวกระบี่ มีสินค้าปลา และยางพารา  ราคาถูก เมื่อราคาโลกดีซื้อรถกระบะเพิ่ม แต่ราคาตกได้รับผลกระทบ รัฐบาลมองว่า ท่องเที่ยวเป็นหัวใจจึงเดินหน้าสร้างรถไฟรางคู่และถนนเลียบชายฝั่งโดยมีหาดทรายตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรีลงไป ทำให้นักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวและเกิดการบริโภค ยังมีผลไม้ไม่ต้องรออานิสสงส์จากราคายางและผลไม้เท่านั้น

และเรื่องโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ไม่มีการลงทุนมากว่า 10 ปี การลงทุนครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลทำโครงการ โครงการที่รัฐบาลให้ดำเนินการแล้วได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่จังหวัดเชียงราย เมื่อวานนี้(30 ต.ค.) เห็นชอบเพิ่มอีก  4 โครงการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ได้แก่ โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา  โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง  ระยะที่ 3 และโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด  ระยะที่ 3 นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ  3-4 เส้น และยังจะมีการลงทุนที่จังหวัด เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต ด้วย 

และรัฐบาลยังมีการพัฒนาด้านดิจิทัล โดย2 ปีที่ผ่านมา มีการลงทุนสร้างโครงข่ายอินเตอร์เน็ตหมู่บ้าน ใช้ประโยชน์ด้านการสาธารณสุข และการศึกษา โดยมีเอกชนพัฒนาแอพพลิเคชั่นช่วย ไทยยังมีจีน ญี่ปุ่น เข้ามาช่วยพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิตอล โดยญี่ปุ่นร่วมกับกระรวงอุตสาหกรรมตั้งศูนย์ ITC และกำลังประสานงานกับทางฮ่องกงเพื่อสร้างไซเบอร์พอร์ตที่อีอีซี เพื่อสร้างเอสเอ็มอีและฮ่องกงยังจะร่วมกันสร้างอีทีโอ สำนักงานการค้าแห่งใหม่ในไทยเปิดต้นปีหน้า  และจะมีการสร้างไทยแลนด์ไซเบอร์พอร์ต เป็นความร่วมมือเอกชนไทยและเอกชนต่างประเทศช่วยพัฒนาสตาร์ทอัพ  – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ธปท.ย้ำเร่งปลดล็อกบัญชีผู้บริสุทธิ์ ทำให้ร้านค้ามั่นใจ

กรุงเทพฯ 15 ก.ย. – ธปท. ย้ำทุกหน่วยงานร่วมกำหนดเงื่อนไขปลดล็อกบัญชีไม่มีเอี่ยวบัญชีม้า สิ้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อให้ร้านค้ามั่นใจรับโอนเงินซื้อสินค้า นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบชำระเงินฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากปัญหาชาวบ้านถูกระงับธุรกรรมและระงับวงเงิน แต่ไม่ได้ระงับเงินในบัญชีในช่วงเดือนกันยายน 68 ตรวจพบบัญชีต้องสงสัยเฉลี่ย 10,000 บัญชี/สัปดาห์ ยอมรับว่าการคุมเข้มในช่วงที่ผ่านมา เพื่อต้องการกวาดเอาเส้นทางบัญชีที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ทั้งโอนเงินผ่าน e-money และคริบโตฯ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบในบางส่วน ในการทำธุรกรรมทางการเงิน ธปท. จึงเร่งหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดเงื่อนไขร่วมกันให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ “ธปท., ธนาคาร, ตำรวจ ศปอท. พร้อมปลดล็อกให้กับผู้บริสุทธิ์ มุ่งเน้นบัญชีจำนวนไม่มาก เช่นวงเงิน 100-500 บาท หรือร้านค้า ที่มีการซื้อของมาประกอบอาหารหรือสินค้าในร้านเป็นประจำในยอดที่ไม่สูงมากนัก กลุ่มเหล่านี้จะเร่งตรวจสอบ เพื่อแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าบัญชีรับทราบ พร้อมทำอย่างรวดเร็ว และมุ่งทำความเข้าใจกับร้านค้า ให้เกิดความเชื่อมั่น และรับเงินโอนจากลูกค้า เพราะที่ผ่านมายอดปฏิเสธรับโอนเงินไม่สูงมากนัก หากตรวจสอบเสร็จแล้วคาดว่าใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ถึง 1 […]

ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ”

กทม. 15 ก.ย.-ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ” หลังครบ 5 วันกักโรค และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำเรื่องขอเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ที่เรือนจำกลางคลองเปรม หลังครบ 5 วัน การกักตัวเฝ้าระวังโรคโควิด-19 และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติตามรายชื่อ 10 คน และทนายความ เข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก โดยก่อนหน้านี้ พันตำรวจโท เชน กาญจนาปัจจ์ โฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่าอาการของนายทักษิณ โดยรวมดีขึ้น ความดันสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งการเข้าเยี่ยมจะเป็นการพูดคุยผ่านกระจกใส เพื่อความปลอดภัย ล่าสุด ครอบครัวชินวัตรเดินทางมาถึงเรือนจำคลองเปรมแล้ว นำโดยคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์, น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ลูกสาวคนโต และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี.-สำนักข่าวไทย

“บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุม เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน

บช.ก. 15 ก.ย. – “บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุมธานี เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน ฝากให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหาย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกระแสข่าวพระวัดดังจังหวัดปทุมธานี ที่มีความเกี่ยวข้องกับเงินวัดจำนวน 12.2 ล้านบาท ที่โอนเข้าบัญชีสีการายหนึ่ง ว่า เรื่องนี้ทราบว่ามีคนแจ้งความและเป็นคดีความอยู่ที่กองบังคับการปราบปรามแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ และได้ข้อมูลที่น่าสนใจมากพอสมควร ซึ่งสีกาคนดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับสีกาที่ทางตำรวจเพ่งเล็งอยู่หรือไม่จะต้องตรวจสอบในประเด็นนี้ด้วย แต่คดีนี้หลักๆ จะดูที่เส้นทางการเงินของบัญชีวัด หากพบใครเกี่ยวข้องก็จะต้องดำเนินการ ส่วนกรณีที่ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม นำหลักฐานออกมาโพสต์ผ่านโซเชียลนั้น ก็ถือว่ามีประโยชน์ต่อรูปคดี ส่วนจะเรียกเข้าสอบหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวน ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานเรื่องนี้จะชัดเจน มีรายงานว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้พบว่ามี 8 คน รวมพระด้วยเป็น 9 คน จึงอยากฝากถึงพระว่า ให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหายเนื่องจากมีหลักฐานจำนวนมาก.-419-สำนักข่าวไทย

บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กทม. 16 ก.ย.-บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เกือบ 5 ล้าน แต่ยายไม่ฟัง ไม่เชื่อว่าโดนหลอก ไล่ตำรวจกลับไป แถมโทรฟ้องมิจฉาชีพว่าตำรวจมากวน สุดท้ายเข้าแจ้งความแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนง ตะโกนคุยกับคุณยายวัย 83 ปี ข้ามรั้วประตูบ้าน ว่า อย่าโอนเงินให้มิจฉาชีพอีก หลังธนาคารพบความผิดปกติ เนื่องจากคุณยายถอนเงินออกมาหลายล้านบาท จึงประสานงานไปที่ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 ให้แจ้งมายังตำรวจนครบาล เพื่อตรวจสอบการโอนเงินของคุณยายโดยด่วน ปรากฏว่า เมื่อตำรวจมาถึงบ้าน คุณยายไม่เชื่อ แถมยังคุยโทรศัพท์กับตำรวจปลอมในมือถือตลอดเวลา แล้วไม่เชื่อว่า ตำรวจที่มาหน้าบ้านเป็นตำรวจจริง จนตำรวจตัวจริงอ่อนใจ ทำได้เพียงแค่ประสานงานผู้นำในชุมชนให้ช่วยดูแลคุณยาย และเตือนเรื่องนี้ ล่าสุดคุณยายมาแจ้งความแล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน แต่ยังไม่ได้เงินคืน ข้อมูลของตำรวจพบว่า คุณยายโอนเงินไปทั้งหมด 5 ครั้งครั้งแรกวันที่ 3 กันยายน ฝากเงินสดเข้าบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง 3.5 ล้านบาทวันที่ 4 กันยายน โอนเงินสดไป 400,000 บาทวันที่ […]

ข่าวแนะนำ

“อนุทิน” สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ก่อนทูลเกล้าฯ ครม.

กทม 16 ก.ย.- “อนุทิน” สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ไหว้ศาลหลักเมือง – วัดพระแก้ว ก่อนนำรายชื่อ ครม. ขึ้นทูลเกล้าฯ วันนี้ บอกเสร็จสิ้นภารกิจไปอีกเปราะ ขณะ “บิ๊กเล็ก” ว่าที่ รมว.กลาโหม รอรับ พลาดลื่นคะมำที่บันได นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เดินทางมายังศาลหลักเมือง หลังตรวจสอบรายชื่อคณะรัฐมนตรีที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้นแล้ว โดยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รอต้อนรับ โดยจุดแรก นายกรัฐมนตรีได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณหอพระ ซึ่งระหว่างทางที่จะเดินขึ้นไปยังหอพระ พล.อ.ณัฐพล ที่เดินตามข้างหลัง ได้ลื่นล้มทั้งตัวหน้าบริเวณหน้าบันไดทางขึ้นหอพระ คาดว่าเป็นเพราะถุงเท้าทำให้ลื่น แต่ พล.อ.ณัฐพล ได้ลุกอย่างรวดเร็ว และไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์ร้องอุทานด้วยความตกใจ ต่อมา นายอนุทิน ได้ผูกผ้าแพร 3 สี ถัดจากนั้นได้ถวายพวงมาลัยศาลหลักเมือง และสักการะศาลเทพารักษ์ทั้ง 5 พร้อมเติมน้ำมันตะเกียงพระประจำวันเกิด ขณะที่ประชาชนที่มาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลหลักเมือง ต่างตะโกนให้กำลังใจนายอนุทิน “นายกฯ สู้ๆ” ก่อนที่นายอนุทินจะหันไปยกมือไหว้ขอบคุณ […]

ประชุมความร่วมมือไทย-กัมพูชา ปราบสแกมเมอร์

สระแก้ว 16 ก.ย.-วันนี้ที่จังหวัดสระแก้ว มีการประชุมสำคัญระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อหวังแนวทางร่วมมือในการปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสแกมเมอร์.-สำนักข่าวไทย

ผู้ค้าทองคำเสนอตั้งเคลียริ่งเฮาส์ ค้านเก็บภาษีเทรดทอง

กรุงเทพฯ 16 ก.ย. – ราคาทองคำนิวไฮตามตลาดโลก การค้าทองคึกคัก ผู้ค้าทองคำค้านแนวคิดภาครัฐเก็บภาษีเทรดทองคำออนไลน์ เพื่อป้องกันบาทแข็งค่า ระบุถอยหลังเข้าคลอง ทำลายการค้า เสนอ ธปท. “ตั้งเคลียริ่งเฮาส์-ปรับสูตรดูแลค่าเงิน” นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด (MTS Gold) กล่าวว่า ในการประชุมระหว่างผู้ค้าทองคำและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วานนี้ ทาง ธปท.มีการสอบถามความเห็นเรื่อง การที่กระทรวงการคลังอาจออกมาตรการเก็บภาษีในการซื้อ-ขายทองคำ โดยเฉพาะธุรกรรมออนไลน์และมีการชำระเป็นเงินบาท เพื่อลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำต่อเงินบาท ซึ่งทางผู้ค้าทองคำ คัดค้านเพราะจะกระทบต่อการค้าทองคำในองค์รวมของทั้งในและต่างประเทศ ทำลายระบบเศรษฐกิจ โดยในขณะนี้การค้าทองคำทั้งในและต่างประเทศแต่ละปีมีมูลค่ารวมกว่า 3 ล้านล้านบาท/ปี และความนิยมเทรดระบบออนไลน์เพิ่มสูงขึ้น ตามทิศทางเศรษฐกิจดิจิทัล ตอบสนองนพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ ที่นิยมเทรดออนไลน์ทั้งผ่านแอปฯ ต่างๆ และเทรดผ่าน Gold Futures ตลาด TFEX ซึ่งเป็นการเทรดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทองคำภายในประเทศ โดยยอดเทรดเติบโตอย่างมากราว 9-20 ตัน/วัน หรือ 20,000-35,000 สัญญาต่อวัน […]

รอลุ้นโฉมหน้า ครม.อนุทิน 1 คาดช้าสุดทูลเกล้าฯ พรุ่งนี้

พรรคภูมิใจไทย 16 ก.ย.-รอลุ้นโฉมหน้า ครม.อนุทิน 1 คาดช้าสุดทูลเกล้าฯ พรุ่งนี้ หลังนายกฯ ลั่นเสร็จสิ้นภายในสัปดาห์นี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความคืบหน้าการนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีอนุทิน 1 คาดว่าจะมีความชัดเจนเร็วสุดในเย็นวันนี้ (16 ก.ย.) หรืออย่างช้าวันพรุ่งนี้ (17 ก.ย.) ซึ่งต้องรอความชัดเจนจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ขณะที่บรรยากาศพรรคภูมิใจไทยในช่วงเช้าวันนี้ยังคงเงียบเหงา มีแกนนำพรรคเดินทางเข้าที่ทำการพรรค อาทิ นายทรงศักดิ์ ทองศรี ว่าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคภูมิใจไทย ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เบื้องต้นยังไม่มีกำหนดการเดินทางเข้าพรรคในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายอนุทิน ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ไว้ว่า รายชื่อคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งจะสามารถทูลเกล้าฯ ถลายได้ภายในสัปดาห์นี้.-สำนักข่าวไทย