สมคิดบอกนายกฯคนต่อไปหน้าคล้ายคนเดิม

กรุงเทพฯ 31 ต.ค.- “สมคิด” เชิญชวนนักธุรกิจต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย พร้อมย้ำ 5 โครงการหลักของอีอีซี อนุมัติก่อนเลือกตั้งแน่ สังหรณ์ใจว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่หน้าตาจะคล้ายคนเดิม


นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา Forbes Global  CEO Conference ครั้งที่ 18 โดยชักชวนผู้บริหารระดับสูงของธุรกิจต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยให้เหตุผลว่า  แม้ประเทศไทยจะเผชิญความท้าทายด้านต่าง ๆ อย่างมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในที่สุด แต่ทุกวิกฤตการณ์ มีโอกาสอยู่เสมอ รัฐบาลได้ใช้เวลาเพียง 3-4 ปีที่ผ่านมา นำความสงบ สร้างเสถียรภาพทางการเมืองให้กลับคืนมา พร้อมกับหยุดการถดถอยทางเศรษฐกิจ พร้อมกันนี้ยัง วางรากฐานสำคัญที่จะสร้างศักยภาพความเข้มแข็งในอนาคตให้กับประเทศ ซึ่งแม้ทำไม่ได้ทั้งหมด ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่เป็นการเริ่มต้นที่มุ่งมั่นและจริงจัง และเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่มุ่งการปฏิรูปประเทศเช่นนี้  

นายสมคิด ยังกล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่า ตนจะไม่ระบุว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นแล้วหรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับว่า แต่ละคนคิดอย่างไร แต่บอกเพียงว่า 3 ปีที่ผ่านมา จากการเป็นประเทศผู้ป่วยแห่งอาเซียน ขณะนี้เศรษฐกิจไทยจากโตต่ำกว่าร้อยละ 1  เศรษฐกิจโตกระโดดขึ้นโตร้อยละ 4.8  แต่ไทยเป็นประเทศเดียวที่ได้รับการปรับจีดีพีให้สูงขึ้นจากกองทุนการระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)และจากธนาคารพัฒนาเอเชีย(เอดีบี) ไทยมีหนี้ต่างประเทศในสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 40 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) มีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศสูงถึง 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดุลบัญชีบัญชีเดินสะพัด ดุลชำระเงินเข้มแข็ง การปรับระดับต่าง ๆ ของไทยดีขึ้น นี่คือสิ่งที่รัฐบาลได้ทำมา


นายสมคิด กล่าวว่า ประเทศไทย จะมีการเลือกตั้งต้นปีหน้า นักลงทุนจำนวนมากสอบถามว่า โครงการต่าง ๆ จะสะดุดลงหรือต้องหยุดลงหรือไม่ จึงได้ตอบไปว่า โครงการลงทุนหลักสำคัญๆ ทีโออาร์ จะออกมาก่อนการเลือกตั้งแน่นอนโดยกฎหมายโครงการเหล่านี้ จะต้องเดินหน้าอยู่แล้ว ประเทศไทยมีคณะกรรมการปฎิรูปประเทศ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ประเทศ โดยรัฐธรรมนูญไทยการจะไม่ทำตามไม่ใช่เรื่องทำได้ง่ายๆ 

“ผมมีลางสังหรณ์ว่า นายกฯ คนต่อไปอาจจะหน้าตาคล้ายๆ คนเดิม แต่ที่สำคัญคือ สิ่งที่รัฐบาลทำมา คนย่อมเห็นและเรารู้เมืองไทยไปได้ดีกว่านี้ ขอให้ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านพัฒนา อาเซียน CLMVT จะเป็นบิ๊กชอร์ตแห่งอนาคต ไม่ต้องกังวลกับจีดีพีที่ขึ้น ๆ ลงๆ ในระยะสั้น มองระยะยาว วันนี้ จึงมาพูดสร้างความมั่นใจว่า อาเซียนมีอนาคต สามัคคีกันเป็นมิตรกับทุกฝ่ายแล้วเราจะไปได้ดี” นายสมคิดกล่าว

นายสมคิด ยังระบุถึงตลาดหุ้นไทยว่า  ตลาดหุ้นของไทย ในขณะที่โลกปั่นป่วนเต็มไปด้วยความวิตกกังวล จากสงครามการค้า และปัญหาเศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่ แต่ตลาดทุนไทยถือเป็น  Save Haven ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในขณะนี้ แม้ตลาดหุ้นจะมีขึ้นมีลง แต่โดยปัจจัยพื้นฐานแล้วตนเชื่อว่า ในภูมิภาคนี้ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ด้อยไปกว่าตลาดหุ้นประเทศใดๆ  แม้ตลาดทุนไทยมีขนาดเล็กกว่าของสิงคโปร์ แต่มีขนาดที่ใกล้เคียงกัน บริษัทจดทะเบียนของไทยมีคุณภาพสูงเพราะผ่านวิกฤติต้มยำกุ้งในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา โดยเอกชนไทยได้รับบทเรียนและสร้างความเข้มแข็งมาแล้ว ดังนั้นวิกฤตการณ์เศรษฐกิจในปี ค.ศ.2008 เศรษฐกิจไทยจึงไม่ได้รับผลกระทบ จึงเป็นปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรงมากของตลาดทุนไทย ที่สำคัญประเทศไทยตั้งอยู่กลางของกัมพูชา ลาว เมียนมาร์และเวียดนาม  นักธุรกิจจึงสามารถเข้าไปทำธุรกิจและไปลงทุนตลาดเหล่านี้ได้


สิ่งสำคัญหลายคนยังกังวลว่า เศรษฐกิจโลกข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ซึ่งตนมองว่า เศรฐษกิจโลกในวันข้างหน้าจะไม่ดีนัก เศรษฐกิจโลกหดตัวแน่นอน จึงจะมีความผันผวนทางการเงินมาก สิ่งสำคัญคือ  ต้องไม่ประมาท ดังนั้นจึงได้กำชับให้ทุกกระทรวงไม่ประมาท เตรียมพร้อมไว้ เตรียมพร้อมดูแล กระทรวงพาณิชย์ให้ดูตลาดใหม่ๆ เช่น จีนหากเจาะตลาดระดับมลฑลได้ยังโอกาสยังมีหาศาล

ด้านอื่นๆ คือ การใช้จ่ายของรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงที่รัฐบาลลงทุนมาก หากเดินหน้าต่อไปจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในปีหน้า ด้านการท่องเที่ยวแม้ตกไปบ้างในช่วงนี้ แต่เชื่อว่า นักท่องเที่ยวจะกลับมาเที่ยวอีก และเชื่อว่าในอนาคตข้างหน้า ตลาดท่องเที่ยวไทยจะยิ่งใหญ่ และหากยังทำหน้าที่ต่อจะพัฒนาการท่องเที่ยวของไทยต่อไป แม้มีความเสี่ยงปีนี้ แต่จะรักษาแรงส่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจเอาไว้ ปีหน้าก็จะไปได้ดี ซึ่งบอกไม่ได้ แต่จะทำให้ดีที่สุด 

นายสมคิด กล่าวว่า  ในทุกวิกฤตมีโอกาส แม้เศรษฐกิจไม่ดี แต่ประเทศไทยมีประตูโอกาสอยู่หน้าบ้าน เพราะขณะนี้ อาเซียนเป็นตลาด ซัพพลายเชน แรงงาน โดยที่ประเทศไทยอยู่ตรงกลางของกลุ่มประเทศอาเซี่ยน  CLMVT ที่มีขนาดตลาดรวมกันมากถึง 250 ล้านคน มีการลงทุนเชื่อมต่อระหว่างกัน ซึ่งนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงในไทยขณะนี้ เข้ามาเพื่อตั้งสำนักงานใหญ่เข้าสู่ clmvt  ตะวันออกกลาง และเข้าสู่ตลาดเอเซียใต้ และไม่มีประเทศไหนที่อยู่ในจุดที่ดีเท่ากับประเทศไทย

และในช่วง 1-2 ปี ที่เกิดนโยบายต่างประเทศอเมริกามาก่อน (America first policy) ทำให้มีกิจกรรมในภูมิภาคนี้ ที่จะพยายามให้ก่อการค้าเสรีขึ้นทดแทน เช่น  การเปิดเสรีการค้าสินค้าภายในกรอบอาร์เซป อาเซี่ยนบวก 6 ประชากรครึ่งโลก ประเทศไทยมีที่ตั้งตรงกลาง  ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) เหลือเพียง 11 ชาติ ซึ่งประเทศไทยต้องการเป็นสมาชิก อินเดียญี่ปุ่น อเมริกาพยายามโปรโมท ภูมิภาคอินโดจีน และการสร้างทางรถไฟ เชื่อมจากจีนลงมาไทยอยู่ตรงกลาง ประเทศไทยที่แข็งแรงที่พัฒนา จะไม่เป็นจุดสนใจได้อย่างไร 

ที่สำคัญกว่านั้น จีนกำลังพัฒนา โครงการเส้นทางสายเศรษฐกิจ” หรือ“วันเบลต์ วันโรด” เส้นทางลงมาจากทางใต้ของจีนเส้นทางในส่วนของลาวไปได้ดีมาก ส่วนของไทยเริ่มก่อสร้างแล้ว ในอนาคตจะเชื่อมต่อ และแม้เส้นทางจบลงที่ประเทศไทยแต่ประโยชน์ได้เกิดแล้ว เพราะทุกคนลงจากจีนมาได้ การพัฒนาย่อมเกิดขึ้น  ประเทศไทยกำลังพัฒนาท่าเรือที่จังหวัดระนอง รถไฟรางคู่ตัดจากชุมพรสู่ระนอง เชื่อมระหว่างอ่าวไทยกับทะเลอันดามัน เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญมากกับไทย และความสัมพันธ์ไทยกับจีนยาวนาน และไทยเป็นประเทศแรกที่มีความสัมพันธ์ระดับสูงกับประเทศจีน วางยุทธศาสตร์ในการช่วยเหลือกันและกัน  

ดังนั้นตนจะเดินทางไปจีนต่ออีก 5 วัน แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ข้อตกการค้าเสรีไทยจีน แต่จะความร่วมมือเป็นพันธมิตรร่วมกัน และไม่เพียงจีน ประเทศไทยยังร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นด้วย โดยที่ผ่านมานักลงทุนญี่ปุ่น เข้ามาลงทุน 7,000-8,000 บริษัท ลงทุนในไทยที่อีสเทินร์ซีบอรด์ และมีความสำคัญลึกซึ้งมากระดับระดับสูงของเจ้าหน้าที่รัฐบาล ประเทศไทยจึงสามารถคิดได้ว่า จะบริหารอย่างไรเมื่อไทยเป็นสมาชิกความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี – เจ้าพระยา – แม่โขง ACMECS และขณะนี้เป็นครั้งแรกที่ได้มีการสร้างแผนแม่บทขึ้นมาได้ ทำให้ในอนาคตจีน ญี่ปุ่นไม่ต้องแข่งขันกัน ล่าสุดการประชุมที่ที่ปักกิ่งจีนและญี่ปุ่น จะยุติการแข่งขันที่ไม่สร้างสรรค์ แต่จะนำจุดแข็งมาลงทุนประเทศที่ 3 ซึ่งประ เทศที่ 3 มีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย และยังแสดงความสนใจเข้ามาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและสมาร์ทซิตี้ในอีอีซี ของไทยด้วย

นายสมคิด ระบุว่า ล่าสุด สัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับรายงานจากสำนักงาคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ระบุว่า  สงครามการค้า ส่งผลให้นักลงทุนจีนเข้ามายื่นโครงการเพื่อขอรับส่งเสริมการลงทุนมากขึ้น โดยเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI) โดยครึ่งปีแรกปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 40-50 เพราะหลายคนมองประเทศไทยเป็นทางออก ดังนั้นโอกาสจึงอยู่ที่ไทย และอยู่ที่ประเทศไทยจะปรับตัวเองได้หรือไม่ ซึ่งอนาคตมีหลายอย่างเป็นดิจิตอล รัฐบาลนี้พยายามผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงแต่ไม่ใช่เรื่องง่าย 

นายสมคิด กล่าวถึงความเหลื่อมล้ำว่า ยังมีอยู่มาก ซึ่งเรื่องนี้ เกิดขึ้น จากผลพวงการเมืองที่ไม่สามารถลงไปแก้ไขในระดับรากหญ้า มานานนับสิบ ๆ ปี  ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า  30,000 บาทต่อปีถึง 4 ล้านคน หากรวมกลุ่มที่มีรายได้ต่ำก่วา 100,000 บาทต่อปี มีจำนวนรวมประมาณ 11 ล้านคน และมีประชากร 20 ล้านคนขึ้นไปอยู่ในภาคการเกษตรซึ่งกลุ่มนี้ไม่ใช้เทคโนโลยี ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม หากไม่แก้ไข ประเทศจะหมดความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร ไม่ใช่ความผิดรัฐบาลนี้ แต่ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาที่ไม่ทุ่มเทกับสิ่งเหล่านี้  การเมืองเน้นเพียงการประกาศราคาสินค้า ฉะนั้นจึงเป็นปัญหาสั่งสมที่ต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ ซึ่งทุกประเทศมีปัญหาเหล่านี้  ไม่ใช่ไทยเท่านั้น จีน อเมริกา ก็มี ดังนั้นขึ้นกับความจริงจังของรัฐบาล

ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลนี้ต้องการคือ การปรับเปลี่ยนประเทศไทยใหม่ ดังนี้ เรื่องแรก การไม่มีเศรษฐกิจที่สมดุล เพิ่งพิงแต่การส่งออกเท่านั้น เมื่อเศรษฐกิจโลกถดถอยส่งออกลดลง ในเดือนที่ผ่านมาส่งออกไทยลดลงร้อยละ 5  จึงต้องหันมาให้ความสำคัญเศรษฐกิจฐานราก เปลี่ยนภาคเกษตร โดยหันมาเพิ่มมูลค่า เปลี่ยนการปลูกเชิงเดี่ยวเป็นปลูกแบบหลากหลาย มีผลิตภาพ มีการค้าออนไลน์ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดในไทย จึงไม่ของง่าย  แต่พยายามดำเนินการโดยมีหุ้นส่วนที่ดีช่วยเหลือทั้งจีน ญี่ปุ่นและสหรัฐ 

ประเทศ ไทยปัจจุบัน ไม่ใช่โปรดักชั่นเซ็นเตอร์ แต่ภาคบริการเป็นตัวนำ เพราะมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 60 ของจีดีพีเป็นภาคบริการ ทัวร์ การเงินธนาคาร และอื่น ๆ  จึงเป็นโอกาสที่ประเทศอื่น ๆ ไม่ค่อยจะมี โดยเฉพาะการท่องเที่ยวจะต้องได้รับการพัฒนา หากสามารถจนพานักท่องเที่ยวจากเมืองหลักออกไปเมืองรองออกสู่ภูมิภาค เช่น จากเชียงใหม่ ไปเชียงราย สู่พะเยา แพร่น่าน ต่อไปเรื่องนี้รัฐบาลนี้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยจัดงบประมาณแบบกลุ่มจังหวัดในการพัฒนา 

เรื่องที่ 2 ด้านการส่งออกต้องการสร้างมูลค่าเพิ่ม อุตสาหกรรมรถยนต์ต้องการรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้นและ เพื่อให้เกิดโครงการเหล่านี้ จึงออกโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี  และกำลังลงทุนสร้างเคเบิ้ลใต้น้ำกับจีนไปที่ฮ่องกงเพื่อให้ไทยเป็นอินเตอร์เนชั่นแนลเก็ตเวย์ได้

สำหรับภาคใต้ที่หลายสิบปีไม่เจริญ คนเที่ยวกระบี่ มีสินค้าปลา และยางพารา  ราคาถูก เมื่อราคาโลกดีซื้อรถกระบะเพิ่ม แต่ราคาตกได้รับผลกระทบ รัฐบาลมองว่า ท่องเที่ยวเป็นหัวใจจึงเดินหน้าสร้างรถไฟรางคู่และถนนเลียบชายฝั่งโดยมีหาดทรายตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรีลงไป ทำให้นักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวและเกิดการบริโภค ยังมีผลไม้ไม่ต้องรออานิสสงส์จากราคายางและผลไม้เท่านั้น

และเรื่องโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ไม่มีการลงทุนมากว่า 10 ปี การลงทุนครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลทำโครงการ โครงการที่รัฐบาลให้ดำเนินการแล้วได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่จังหวัดเชียงราย เมื่อวานนี้(30 ต.ค.) เห็นชอบเพิ่มอีก  4 โครงการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ได้แก่ โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา  โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง  ระยะที่ 3 และโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด  ระยะที่ 3 นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ  3-4 เส้น และยังจะมีการลงทุนที่จังหวัด เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต ด้วย 

และรัฐบาลยังมีการพัฒนาด้านดิจิทัล โดย2 ปีที่ผ่านมา มีการลงทุนสร้างโครงข่ายอินเตอร์เน็ตหมู่บ้าน ใช้ประโยชน์ด้านการสาธารณสุข และการศึกษา โดยมีเอกชนพัฒนาแอพพลิเคชั่นช่วย ไทยยังมีจีน ญี่ปุ่น เข้ามาช่วยพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิตอล โดยญี่ปุ่นร่วมกับกระรวงอุตสาหกรรมตั้งศูนย์ ITC และกำลังประสานงานกับทางฮ่องกงเพื่อสร้างไซเบอร์พอร์ตที่อีอีซี เพื่อสร้างเอสเอ็มอีและฮ่องกงยังจะร่วมกันสร้างอีทีโอ สำนักงานการค้าแห่งใหม่ในไทยเปิดต้นปีหน้า  และจะมีการสร้างไทยแลนด์ไซเบอร์พอร์ต เป็นความร่วมมือเอกชนไทยและเอกชนต่างประเทศช่วยพัฒนาสตาร์ทอัพ  – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ภราดร” ประกาศลาออก “รองปธ.สภาฯ”

รัฐสภา 19 มิ.ย.- “ภราดร” ประกาศลาออกจาก “รองประธานสภาฯ” รักษาหลักการเสียงข้างมาก คืนอำนาจให้สภาฯ เลือกใหม่ นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง และ สส.จังหวัดอ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ประกาศยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งรองประธานฯ โดยมีผลทันทีในวันนี้ หลังจากพรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์เมื่อค่ำวานนี้ว่ากรรมการบริหารพรรคมีมติให้พรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล และรัฐมนตรีของพรรคทุกคนได้ส่งใบลาออกต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีผลวันที่ 19 มิถุนายนนี้เช่นกัน นายภราดรให้เหตุผลว่า ตนได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้ด้วยเสียงส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น ในวันนี้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและพรรคภูมิใจไทยไม่ได้ร่วมอยู่ในรัฐบาลแล้ว จึงเห็นว่าควรคืนอำนาจให้สภาผู้แทนราษฎรได้มีโอกาสตัดสินใจเลือกรองประธานฯคนใหม่ด้วยมติเสียงข้างมาก ตามธรรมเนียมที่เคยถือปฏิบัติมา “ผมขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้ให้เกียรติเลือกผมมาปฏิบัติหน้าที่ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นประสบการณ์ในการทำงานที่มีคุณค่า และขอถือโอกาสนี้ขอบคุณทีมงานของรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สองทุกคนที่ได้ทุ่มเททำงานจนบรรลุภารกิจไปหลายประการ ซึ่งล้วนสร้างความก้าวหน้าให้กับสภาของประชาชน กราบขอบพระคุณท่านประธานและรองประธานสภาฯคนที่หนึ่ง ที่ได้ให้ความเมตตาผมอย่างยิ่งในการทำงาน” นายภราดรกล่าว พร้อมย้ำว่าจะฝากงานหลายอย่างที่ได้ดำเนินการไว้ โดยเฉพาะโครงการเปิดพื้นที่รัฐสภาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ เป็นพื้นที่ของประชาชนอย่างแท้จริง โครงการวันรัฐธรรมนูญ กิจกรรมสภาวาที การพัฒนาสถานีวิทยุโทรทัศน์รัฐสภาให้เป็นสถานีของประชาชน โดยเปิดโอกาสให้สถานศึกษาเข้ามามีส่วนร่วม และการต่อยอดโครงการยุวชนประชาธิปไตยที่สร้างเสริมศักยภาพเยาวชน ให้ผู้รับตำแหน่งคนต่อไปได้มาสานต่อ นอกจากนี้ นายภราดรยังยืนยันจะทำหน้าที่เป็นผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านอย่างเข้มแข็ง เคียงบ่าเคียงไหล่กับ ส.ส. ของพรรคภูมิใจไทยต่อไป.312 -สำนักข่าวไทย

นายกฯ โพสต์สำนวนก่อนลบทิ้ง เตรียมเข้าทำเนียบฯ

ทำเนียบ 19 มิ.ย.- นายกฯ โพสต์สำนวน “ผู้คน ไม่ได้แกล้งเศร้า แต่แกล้งโอเค” ก่อนลบทิ้ง ยกเลิกประชุมทีมคณะที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก เข้าทำเนียบ เมื่อเวลา 08.15 น. ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ช่วงเช้าวันนี้ (19 มิ.ย.) พบว่า มีการแชร์สตอรี่อินสตาแกรม เป็นสำนวนภาษาอังกฤษ ระบุว่า “People don’t fake depression.They fake being okay. Remember that. Be kind.” ซึ่งมีความหมายว่า “คนเราไม่ได้แกล้งเศร้า แต่แกล้งว่าตัวเองโอเคต่างหาก, จำไว้นะ จงมีเมตตา” พร้อมซาวด์ดนตรี Another love อย่างไรก็ตามในเวลา 08.54 น. นายกรัฐมนตรี ได้ลบโพสต์ดังกล่าว ออกจากสตอรี่อินสตราแกรม ทำให้ไม่มีข้อความปรากฏแล้ว ขณะเดียวกัน ยังรายงานอีกว่า วันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ยกเลิกภารกิจ […]

“กัญจนา” เชื่อ “วราวุธ’” ไม่หนุนการกระทำที่ไม่ดีต่อบ้านเมือง

กรุงเทพฯ 19 มิ.ย.- “หนูนา กัญจนา” ชี้พรรคชาติไทยพัฒนาแม้เป็นพรรคเล็ก แต่ศักดิ์ศรีรักบ้านเกิดเมืองนอนยิ่งใหญ่เสมอ เชื่อ “วราวุธ” ไม่หนุนการกระทำที่ไม่ดีต่อบ้านเมือง น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กกรณีคลิปเสียงสนทนาสองผู้นำไทย-กัมพูชา ว่า “ณ วันนี้ ดิฉันไม่ได้นิยามตัวเองเป็นนักการเมืองแล้ว ถอยออกมามานานแล้ว แต่ที่ดิฉันเป็นเสมอคือ เป็นคนไทยที่รักแผ่นดินเกิด “จุดยืนของดิฉันมั่นคงมาตลอดเหมือนพ่อ คือยึดมั่นต่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และเชื่อว่าน้องชายดิฉัน (นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ก็เช่นกัน” น.ส.กัญจนา ยังระบุอีกว่า “แม้ที่ผ่านมา เขาอาจจะพูดอะไรพลาดบ้าง นั่นก็เป็นบทเรียนในชีวิตให้เขาต้องจดจำ วันนี้ดิฉันแม้ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาแล้ว แต่ดิฉันยังเป็นสมาชิกพรรคอยู่ แม้พรรคชาติไทยพัฒนาในวันนี้ จะเป็นพรรคขนาดเล็ก แต่ศักดิ์ศรี และความรักบ้านเกิดเมืองนอนต้องยิ่งใหญ่เสมอ” “ดิฉันเชื่อว่า พรรค และหัวหน้าพรรคจะมีการตัดสินใจที่ชัดเจนในการไม่สนับสนุนการกระทำใดที่ไม่ดีต่อชาติบ้านเมือง ทำในสิ่งที่ควรทำ” -สำนักข่าวไทย

นายกฯ รีโพสต์สตอรี่ไอจี หลัง “ภูมิใจไทย” ถอนตัว

19 มิ.ย.- นายกฯ รีโพสต์สตอรี่ไอจี กลางดึก หลัง “ภูมิใจไทย” ประกาศถอนตัวพรรคร่วมรัฐบาล ความเคลื่อนไหวช่วงกลางดึกในเวลา 21.08 น. ของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายหลังพรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล โดยจะยื่นใบลาออกมีผลวันนี้ (19 มิ.ย.) พร้อมเรียกร้องให้นายกฯ รับผิดชอบทำประเทศเสียเกียรติภูมิ นั้น พบว่าสตอรี่อินสตราแกรมของ นายกรัฐมนตรี ยังคงมีการเคลื่อนไหวผ่านการรีโพสต์สตอรี่ ที่มีคนโพสต์และแท็ก โดยเป็นภาพระหว่างสื่อมวลชนตามสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรี เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา และเป็นโพสต์รูปภาพของนายกรัฐมนตรี พร้อมใส่เพลง “ทำด้วยหัวใจ” โดยไม่มีการใส่แคปชั่น หรือระบุข้อความใดใดในภาพ รวมถึงคลิปที่นายกรัฐมนตรีได้มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน ด้วย -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

รัฐบาลออกแถลงการณ์โต้คลิปเสียง “ฮุนเซน“ ยันมีเจตนาบริสุทธิ์ จริงใจ

ทำเนียบ 19 มิ.ย.-รัฐบาลออกแถลงการณ์กรณีสถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา โต้คลิปเสียง “ฮุนเซน” ยันมีเจตนาบริสุทธิ์ จริงใจ แต่ได้รับผลตรงข้าม ชี้ 26 ปี JBC ไร้ผล เป็นเหตุตัดสินใจใช้การทูตโทรหาผู้นำกัมพูชา ย้ำแก้ปัญหายึดสันติวิธี รักษาอธิปไตยไทย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์เมื่อเวลา 13.30 น. วันนี้ (19 มิ.ย.) “กรณีสถานการณ์ความสัมพันธ์ ไทย-กัมพูชา” โดยมีเนื้อหาว่า “พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขออภัยต่อพี่น้องประชาชนด้วยความจริงใจ จากกรณีคลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์กับผู้นำกัมพูชาที่เกิดขึ้น ทุกการดำเนินการเป็นไปภายใต้เจตจำนงที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติ รักษาผลประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนไทย ทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและพักอาศัยอยู่ในกัมพูชา ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ดังกล่าว ไม่นึกว่าจะเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ น่าเสียใจอย่างยิ่งที่ความจริงใจของเรา กลับมีผลตอบรับตรงกันข้าม รัฐบาลไทยยึดหลักสันติวิธี ใช้กลไกทวิภาคีเรื่องเขตแดนที่มีอยู่ โดยเฉพาะการทำงานของ JBC ที่รัฐบาลไทยและกัมพูชาร่วมมือกันมาตลอด 26 ปี เพื่อคลี่คลายปัญหา แต่ในระหว่างนั้นได้ปรากฏเหตุการณ์สื่อสารโต้ตอบที่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น หากรัฐบาลนิ่งเฉย และไม่แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ย่อมเกิดความเสี่ยงที่จะบานปลายไปสู่ความรุนแรงและความสูญเสียต่อชีวิตและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนชาวไทยได้ นายกรัฐมนตรีจึงตัดสินใจใช้วิธีทางการทูต ผ่านการโทรศัพท์พูดคุยโดยตรงกับผู้นำกัมพูชา […]

กต. ทำหนังสือประท้วงกัมพูชากรณีปล่อยคลิปเสียงหลุด

กรุงเทพฯ 19 มิ.ย. – กระทรวงการต่างประเทศ ส่งหนังสือประท้วงกรณีคลิปเสียงบทสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย-ฮุน เซน ย้ำผิดมารยาทและผิดหลักปฏิบัติสากล และทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยถึงพัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา หลังจากที่ได้มีการเปิดเผยบทสนทนาส่วนตัวระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฯ ฮุนเซน ประธานวุฒิสภา ของกัมพูชา ต่อสาธารณชนวานนี้ (18 มิ.ย.68) ว่า การกระทำดังกล่าวขัดต่อจรรยาบรรณ และมารยาทพื้นฐานของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐที่ไม่อาจยอมรับได้ ถือเป็นการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และความพยายามที่จะใช้กลไกทวิภาคีในการแก้ไขปัญหาของทั้งสองฝ่ายตามแนวปฏิบัติสากล และการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี พร้อมเน้นย้ำว่า ไม่ว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นใคร ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคือหัวหน้ารัฐบาลของประเทศ ที่ควรได้รับการเคารพ และให้เกียรติ ตามแนวปฏิบัติสากลในการเจริญสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศจึงได้ออกหนังสือประท้วงกรณีดังกล่าว ผ่านช่องทางทางการทูต โดยได้เชิญให้เอกอัครราชทูตกัมพูชา ประจำประเทศไทย มารับหนังสือดังกล่าว เพื่อแจ้งว่าการกระทำข้างต้นของทางกัมพูชาเป็นการกระทำที่ไม่สามารถยอมรับได้ ถือว่าผิดมารยาทพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ เป็นการทำลายความไว้ใจระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างร้ายแรง ซึ่งการออกหนังสือดังกล่าวเป็นไปตามแนวปฏิบัติทางการทูต มีความรอบคอบ โปร่งใส มีวุฒิภาวะ ใช้สันติวิธี และดำเนินการอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและการดูแลคนไทยที่อยู่ในกัมพูชาแล้ว พร้อมยืนยันว่าการกระทำดังกล่าว เป็นการดำเนินการทางการทูต […]

นายกฯ แถลงขอโทษคนไทยปมคลิปเสียงหลุดคุย “ฮุน เซน”

กรุงเทพฯ 19 มิ.ย. – นายกฯ แถลงขอโทษคนไทยทุกคน กรณีคลิปเสียงหลุดคุย “ฮุน เซน” เป็นเรื่องไม่น่าเกิดขึ้น ได้คุย มทภ.2 และทำความเข้าใจกับกองทัพ โดยได้อธิบายถึงเจตนาที่แท้จริง ยอมรับไม่ทราบจริงๆ ว่ามีการอัดคลิปเผยแพร่ ย้ำวันนี้ไทยต้องร่วมมือผนึกกำลัง ปกป้องอธิปไตย ทุกภาคส่วนสรุปว่า “เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าพบ เพื่อรายงานผลการประชุมของศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) รวมถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ภายหลังเกิดกรณีคลิปเสียงการโทรศัพท์เจรจาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ว่าได้เชิญหน่วยงานด้านความมั่นคงมาพูดคุยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ก่อนอื่นต้องขออภัยพี่น้องประชาชนและคนไทยทุกคนในเรื่องกรณีที่มีคลิปเสียงหลุดออกมาระหว่างที่ตนคุยกับผู้นำกัมพูชา ความจริงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ต้องขออภัยพี่น้องประชาชนที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจ ได้มีโอกาสคุยกับเจ้าหน้าที่และกองทัพ อธิบายถึงเหตุผลว่าเป็นเพียงแท็กติกของการสื่อสารที่จะเจรจาต่อไปว่าเราจะต้องแสดงความเข้าใจก่อน เพื่อจะคุยถึงต่อไป เป็นการต่อรองเพื่อให้การปะทะนั้นหยุดลง ด้วยความตั้งใจที่แท้จริงว่าต้องการจะให้สถานการณ์สงบสุขเท่านั้นเอง และไม่ทราบจริงๆ ว่าจะมีการอัดคลิปและเผยแพร่เช่นนี้ ก็ได้ทำความเข้าใจกับทางกองทัพเรียบร้อยแล้ว และรับฟังว่าวันนี้เราต้องร่วมมือกันผนึกกำลังเอาไว้ คนไทยทุกคนต้องผนึกกำลังเอาไว้ วันนี้ทุกภาคส่วนได้สรุปว่ากรณีดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่ภัยคุกคามเล็กๆ ของประชาชนหรือของอะไร ที่จะพูดถึงว่ารัฐบาลหรือกองทัพต้องมาสู้กัน วันนี้เราไม่มีเวลาที่จะมาทะเลาะกันเองแบบนี้ เราต้องปกปกอธิปไตย ยินดีสนับสนุนกองทัพทุกรูปแบบ และวันนี้การที่เราจะทำอะไรหรือตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เราต้องคำนึงถึงประชาชนคนไทยที่อยู่ในกัมพูชาด้วย รวมทั้งประชาชนตรงชายแดน […]

ผบ.ทบ. แสดงจุดยืนยึดมั่น ปชต. ย้ำเวลานี้ “คนไทยต้องสามัคคี”

กองทัพบก 19 มิ.ย. – ผบ.ทบ. แสดงจุดยืนยึดมั่นระบอบประชาธิปไตย พร้อมทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ ย้ำสถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้ “คนไทยต้องสามัคคี” พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันที่ปรากฏข้อมูลหรือการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ที่หลากหลายและส่งผลกระทบต่อสังคมเป็นบริเวณกว้าง พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ในประเทศที่เกิดขึ้นโดยขอให้คนไทยได้เชื่อมั่นในกองทัพบก ที่มีจุดยืนในการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพร้อมทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างสุดความสามารถ ภายใต้กลไกที่มีอยู่ ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารบกได้เน้นย้ำว่า หากพิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในห้วงเวลานี้คือ “คนไทยต้องสามัคคี” ร่วมกันปกป้องอธิปไตยจากผู้ไม่หวังดี โดยยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ-313 .-สำนักข่าวไทย