กรุงเทพฯ 24 ต.ค. – กรมประมงเพาะพันธุ์ “ปลาปล้องทองปรีดี” สำเร็จ เตรียมขยายพันธุ์เชิงพาณิชย์เป็นปลาสวยงามสร้างรายได้ชุมชน
นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า นักวิชาการกรมประมงสามารถเพาะพันธุ์ปลาสำเร็จอีกหนึ่งชนิด คือ “ปลาปล้องทองปรีดี” ซึ่งถือว่าเป็นปลาหายาก เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยเสื่อมโทรมลง อีกทั้งยังถูกจับขึ้นมาจำหน่ายเพื่อเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ทำให้ปลาปล้องทองปรีดีในธรรมชาติลดลงเรื่อยๆ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเร่งเพาะขยายพันธุ์ เพื่อทำการฟื้นฟูและอนุรักษ์ให้ปลาชนิดนี้ยังคงอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติ และในอนาคตสามารถต่อยอดการเพาะเลี้ยงเพื่อเป็นปลาสวยงาม สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับชุมชนด้วย การวิจัยนี้ใช้เวลาศึกษาทดลองกว่า 12 ปี
นายประสาน พรโสภิณ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด เขต 1 (เชียงใหม่) หัวหน้าคณะผู้วิจัย กล่าวว่า ปลาปล้องทองปรีดี เป็นปลาที่อยู่ในวงศ์ปลาค้อ มีขนาดเล็ก ความยาวประมาณ 2-3 นิ้ว สีสันสวยงาม ลำตัวมีลักษณะคล้ายปล้องอ้อยเรียวยาวสีน้ำตาลอ่อนอมเทาหรือเหลืองอ่อน และมีลายขวางสีคล้ำลงมาเกือบถึงท้อง พบในประเทศแถบเอเชีย สำหรับประเทศไทยพบบริเวณลำธารภูเขาในเขตพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม อำเภอเชียงดาว และอำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งทางศูนย์ฯ ได้สำรวจชนิดพันธุ์สัตว์น้ำตามโครงการพระราชดำริทุกปีอย่างต่อเนื่อง และพบว่าปลาปล้องทองปรีดีในธรรมชาติหายากและมีจำนวนลดน้อยลง จึงได้พยายามรวบรวมพ่อแม่พันธุ์จากธรรมชาติ เพื่อทำการศึกษาทดลองเพาะขยายพันธุ์ตั้งแต่ปี 2549 แต่ระยะแรกยังประสบปัญหา เนื่องจากปลาไม่สามารถปรับตัวให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมของการทดลองได้
ทั้งนี้ ในปี 2560 ทางศูนย์ฯ นำไปทดลองเพาะขยายพันธุ์ที่สถานีวิจัยประมงน้ำจืดพื้นที่สูงอินทนนท์ ซึ่งมีสภาพแวดล้อมและอากาศใกล้เคียงกับแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติมากที่สุด โดยคัดเลือกปลาที่มีน้ำเชื้อและไข่สมบูรณ์มาทดลองเพาะพันธุ์ด้วยวิธีฉีดกระตุ้นฮอร์โมนสังเคราะห์ แล้วปล่อยลงกล่องทดลองให้พ่อแม่ปลาผสมพันธุ์แบบธรรมชาติที่อุณหภูมิน้ำ 15.3-16.8 องศาเซลเซียส ผลปรากฏว่า ปลาตกไข่มากถึงร้อยละ 70 และสามารถฟักออกเป็นตัวได้สำเร็จ แต่อัตราการฟักตัวยังค่อนข้างต่ำมากเพียงร้อยละ 37.13 เท่านั้น รวมถึงการอนุบาลลูกปลายังเป็นปัจจัยสำคัญทำให้อัตราการรอดยังต่ำ ซึ่งได้ผลผลิตเพียง 200 ตัวเท่านั้น จึงต้องพัฒนาขยายผลการศึกษาวิจัยในระยะต่อไป เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มากกว่านี้.-สำนักข่าวไทย