ทำเนียบ13 ก.ย.- วิษณุ แจงตั้งแต่ 12 ก.ย.คดีความมั่นคงขึ้นศาลพลเรือน คดีที่อยู่ในศาลทหารเดิม ไม่สามารถโอนมาศาลปกติได้ ชี้ทหารยังมีอำนาจจับกุมเช่นเดิม
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งที่ 55/2559 เลิกใช้ศาลทหารตัดสินคดีความมั่นคง ของพลเรือน โดยกลับไปใช้ศาลยุติธรรมตามปกติ ว่า คดีทั้งหมดแบ่งเป็น 4 ประเภท ประกอบด้วย คดีตามความผิดมาตรา 112 มาตรา 116 เกี่ยวกับวัตถุระเบิด อาวุธปืน ดอกไม้เพลิง และคดีที่เกี่ยวกับการขัดคำสั่ง คสช. ที่จากเดิมให้ขึ้นศาลทหาร เปลี่ยนให้มาขึ้นศาลยุติธรรมหรือศาลพลเรือนแทน มีผลตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน ที่มีการประกาศใช้คำสั่งหัวหน้า คสช.หากมีการกระทำผิดก็จะต้องไปขึ้นศาลพลเรือน ส่วนคดีเดิมที่อยู่ในศาลทหาร ไม่สามารถโอนมาศาลปกติได้เนื่องจากบางคดีก็มีการสืบพยานไปแล้ว หากโอนมาจะทำให้เกิดความยุ่งยาก
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งนี้คดีที่อยู่ในศาลทั้งหมดมี 1,500 คดี และพิจารณาแล้วเสร็จ 1,000 คดี ค้างอยู่ อีก 500 คดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนผู้ที่กระทำความผิดโดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กับพวกที่ต้องรับผิดตาม พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร คือผู้ที่กระทำผิดในพื้นที่ที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก คือ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กับทหารที่ทำความผิด ทั้งหมดก็ต้องขึ้นศาลทหาร
นายวิษณุ กล่าวว่าสำหรับหรับขั้นตอนการจับกุมนั้น เจ้าหน้าที่ทหารยังคงมีอำนาจเช่นเดิม เพียงแต่จับแล้วก็ต้องนำส่งศาลพลเรือน ทหาร ตำรวจ ยังมีอำนาจในการเข้าจับกุมด้วยกัน ของเดิมจับเสร็จแล้วส่งไปที่อัยการทหาร แล้วส่งต่อไปยังศาลทหาร ส่วนของใหม่จับเสร็จแล้วก็ส่งตัวไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วส่งต่อไปยังอัยการและศาลพลเรือน ดังนั้นจากนี้ต่อไปคดีต่างๆ ไม่ว่าจะคดีหมิ่น คดีที่ผิดมาตรา 112 วัตถุระเบิด อาวุธปืน ดอกไม้เพลิง และคดีที่เกี่ยวกับการขัดคำสั่ง คสช.จะส่งไปยังศาลยุติธรรม.-สำนักข่าวไทย