ศาลฎีกา 25 ก.ค.- “ชาญชัย” ขอไต่สวน “วิษณุ” 30 ก.ค. ปมรักษา “ทักษิณ” ชั้น 14 ไม่ให้ไต่สวนลับ ด้าน “หมอวรงค์” ลั่น คดีใกล้ตอกฝาโลงแล้ว ขณะที่ “สมชาย” ยื่นศาลฯ เพิ่ม 2 เรื่อง พบพิรุธไม่ได้รักษาตัวห้อง 1407 ตามที่ยื่นศาล บอกเป็นผู้มีอิทธิพลจะอ้างไม่เกี่ยวไม่ได้
นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.ประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี และ นายสมชาย แสวงการ อดีต สว. ให้สัมภาษณ์ภายหลังการไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีการเข้ารับโทษของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
นายชาญชัย เผยว่า วันนี้แพทยสภามาตามคำสั่งศาล ให้การชัดเจน ว่าศาลมีการซักถามถึงเอกสารและข้อชัดเจน ให้พยานของนายทักษิณสอบถามได้เต็มที่ แต่การถามของพยานนั้นทำให้ความจริงชัดขึ้น ว่าพยานกำลังบอกว่านายทักษิณผิดในส่วนไหน แต่ในความจริงได้เห็นองค์ความรู้อย่างหนึ่ง คือข้อกฎหมาย ข้อเท็จกระบวนการยุติธรรม ความถูกต้องก็ดี ได้ปรากฏชัดให้ประชาชนเรียนรู้ไปด้วยในตัว สิ่งที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองความถูกต้องอยู่ตรงไหน และจะจบสิ้นในอีกไม่เกิน 10 วันนี้ ก็คาดหวังให้ความจริงปรากฏและศาลก็ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ส่วนวันนี้ศาลก็ได้มีการรับเรื่องจากนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ที่ได้ร้องว่า นพ.วรงค์และตนได้มีการไลฟ์สดในบริเวณศาล โดยขอยืนยันว่าไม่ได้ไลฟ์สดแต่อย่างใด ซึ่งศาลก็ได้ยกคำร้อง ส่วนนัดครั้งหน้าที่จะมีนายวิษณุ เครืองาม เข้าให้ข้อมูลกับศาลนั้นไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการพิจารณาลับ เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างแรง ซึ่งนายวิษณุอย่าสร้างเงื่อนไขเรื่องนี้เด็ดขาด ถ้าหากจะมาให้ข้อมูล หรือนายทักษิณจะมีข้อตกลงอะไรก็ตาม ทั้งนี้ตนและพวกก็ไม่ได้ก้าวล่วงอำนาจของศาล เชื่อในกระบวนการยุติธรรมและเคารพศาลอยู่แล้ว
ส่วนสัปดาห์หน้าที่นายวิษณุจะมาให้ข้อมูลกับศาลนั้นจะเป็นคุณหรือเป็นโทษ อยู่ที่ศาลจะซักถามเรื่องอะไร ถ้าจะมองว่าเป็นการให้คุณให้โทษกับนายทักษิณ ก็ให้ทนายของนายทักษิณถามให้เต็มที่ และคำวินิจฉัยของแพทยสภาก็ออกมาชัดเจนไม่ได้มีการลำเอียง รวมถึงไม่ได้ไปลงโทษสุ่มสี่สุ่มห้า ถือว่ายังเบาไปสำหรับการกระทำดังกล่าวว่าไปช่วยคนหนึ่งที่ทำให้กระบวนการของแพทยสภาเสียหาย รวมถึงกระบวนการยุติธรรม และความเสียหายต่อประเทศ ถือเป็นเรื่องหนักมาก ศาลต้องมีคำวินิจฉัยออกมาให้ชัดเจน
ด้าน นพ.วรงค์ เผยว่า วันนี้ศาลได้มีการซักถามแพทยสภา 3 คน ในข้อกล่าวหาที่สังคมสงสัยว่า นักโทษรายนี้ป่วยหนักหรือป่วยวิกฤต ต้องนอนโรงพยาบาลตำรวจกว่า 180 วันหรือไม่ ขณะนี้กระบวนการพิจารณาตอกฝาโรงแล้ว เชื่อว่าทุกอย่างมีคำตอบจบไปแล้ว แยกเป็น 3 กรณีคือ การส่งตัวในคืนวันที่ 22 ส.ค.2566 ในข้อหาที่สงสัยว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งได้รับการยืนยันจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่า ไม่ได้เป็นโรคหัวใจขาดเลือด ถึงแม้จะมีประวัติ แต่ไม่ได้วิกฤต เพราะที่ส่งตัวมานั้นมาด้วยโรคหัวใจ แต่แพทย์ผู้รักษากลับเป็นแพทย์สมอง รวมถึงการอ้างเรื่องการหอบแต่ไม่มีการเอ็กซเรย์ปอด และปัญหาเรื่องโรคหัวใจก็ได้รับการยืนยันว่า ไม่ได้เป็นเรื่องวิกฤติเร่งด่วนที่จะต้องอยู่ในโรงพยาบาล ส่วนประเด็นนิ้วล็อคนั้นได้รับการยืนยันจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่านิ้วล็อคไม่ใช่วิกฤตฉุกเฉิน ที่จะต้องผ่าตัดโดยเร่งด่วน คนไข้สามารถนอนอยู่ที่บ้านแล้วมาผ่าตัดได้ และการผ่าตัดนิ้วล็อคเป็นการผ่าตัดเล็กไม่ได้ผ่าตัดใหญ่ไม่มีความจำเป็นต้องดมยาสลบ ส่วนใหญ่เป็นการฉีดยาชาเฉพาะที่ และในทางปฏิบัติผ่าตัดเรียบร้อยสามารถไปรักษาแผลที่บ้านได้ ส่วนประเด็นสุดท้ายคือเรื่องเอ็นหัวไหล่ฉีกขาด ในภาพรวมก็อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุก็ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า การผ่าตัดที่มีการส่องกล้องไม่ได้เป็นเรื่องฉุกเฉินที่ต้องผ่าตัดในทันทีทันใด สามารถนัดหมายมาผ่าตัดได้ ถ้าเป็นประชาชนทั่วไปก็ให้พักอยู่ที่บ้านเมื่อถึงเวลาที่พร้อมก็นัดหมายมาที่โรงพยาบาล และนัดผ่าตัด แต่การผ่าตัดนี้เป็นการผ่าตัดที่ต้องดมยาสลบ และถ้าคนไข้มีประวัติเรื่องโรคหัวใจ ที่ไม่ได้วิกฤตก็สามารถใช้ยาได้ กินยาแล้วก็นัดหมายการผ่าตัด จากภาพรวมพยายามพูดถึงเรื่องวิกฤตฉุกเฉิน แม้นักโทษจะมีโรคเยอะ แต่ถือว่าเป็นโรคเรื้อรังที่ให้กินยาต่อเนื่องได้โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล ถ้าหากคนไข้มีอาการกำเริบขึ้นมาก็จะเป็นเงื่อนไขที่จะนอนโรงพยาบาล แต่ข้อมูลที่เราได้ฟังมาโรคหลายหลายโรคไม่ได้กำเริบที่ต้องนอนโรงพยาบาลต่อเนื่อง ถึง 180 วัน และวันนี้แพทยสภาซึ่งถือเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มายืนยันการเจ็บป่วยของนายทักษิณ ถือว่าเป็นการตอกฝาโลง
นายแพทย์ตุลย์ เผยว่าจากวันนี้ได้ฟังพยานที่เป็นตัวแทนของแพทยสภา สรุปได้ว่าจบเห่ แต่ประเด็นสำคัญที่ทุกคนกำลังติดตามอยู่ ได้จากราชทัณฑ์ ได้จำคุกนายทักษิณตามหมายขังแล้วหรือไม่ การที่นำตัวทักษิณออกไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจโดยอ้างกฎกระทรวงในการส่งตัวผู้ป่วย ไปรักษานอกเรือนจำ ถ้าเกิดไม่มีหลักฐานอะไรเลยว่าต้องอยู่นอกเรือนจำ แปลว่าจะไม่มีการจำคุกตามหมายขัง คือต้องกลับไปที่เรือนจำตามหมายศาล และวันนี้ทำให้ทราบว่าใบคำสั่งแพทย์ ทำให้ทราบว่าไม่มีโรคหัวใจเฉียบพลันฉุกเฉินจนต้องส่งมาโรงพยาบาลตำรวจ ตามที่พยานคนแรกได้เห็นเหตุการณ์ ที่ได้ส่งตัวนายทักษิณมานอกเรือนจำ เป็นที่ปรากฏว่าไม่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ที่เกิดจากเส้นเลือดหัวใจอุดตัน ไม้มีการตรวจโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ด้านนายสมชาย เผยว่า วันนี้มีการส่งเอกสารเพิ่มเติมอีกสองส่วน ที่ได้มาจากแพทย์ผู้หวังดีและศาลได้เรียกเอกสารนั้นมาแล้ว คือใบเสร็จรับเงิน 2,400,000 บาท เป็นห้อง 1404 ไม่ใช่ห้อง 1407 ตามที่พยานจากกรมราชทัณฑ์เบิกความ และในหลักฐานก็บอกว่าใบที่จ่ายเงินและแพทย์ผู้รักษานายทักษิณที่บอกว่าอยู่ 179 วันนั้นอยู่ในห้อง 1404 และเป็นหลักฐานที่ให้ศาลออกไปที่โรงพยาบาลตำรวจ ว่าห้อง 1407 มีคนอื่นพักอยู่ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2566 จนถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ดังนั้นพยานที่มาให้การในศาล น่าจะเป็นข้อพิรุธที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ไต่สวนเพิ่มว่าเจ้าหน้าที่ควบคุมทั้งหมดที่อ้างว่าคุมตัวนายทักษิณอยู่ห้อง 1407 ทั้งพัสดีผู้บัญชาการ ในส่วนของกรมราชทัณฑ์ที่มาตรวจ ที่บอกอยู่ห้อง 1407 นั้น เป็นพยานที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ และถูกหักล้างได้ หลักฐานนี้ถือเป็นหลักฐานที่มีรายชื่อคนที่อยู่ ห้อง 1407 และบอกว่านายทักษิณอยู่ห้อง 1404 ส่วนใบเสร็จที่ได้มีการส่งไปแล้วนั้นเป็นประโยชน์ในการที่ศาลได้เรียกมา ที่มีการตรวจสอบว่ามีแต่ค่าห้องเป็นส่วนใหญ่ และตนคิดว่าคดีนี้จบแล้วถึงแม้ว่าพยานคนต่อไปจะให้การในเรื่องการเข้าเรือนจำ การขอพระราชทานอภัยโทษ เป็นเรื่องรอง แต่เรื่องการบังคับโทษของนายทักษิณนั้นชัดเจนว่ามีประเด็นปัญหาในเรื่องของกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ พยาบาลเวร พัศดีเวร ผู้บัญชาการเรือนจำ ผู้คุม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ปลัดกระทรวง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในส่วนของโรงพยาบาลตำรวจนั้น จะเป็นในเรื่องของจรรยาบรรณของแพทย์
“สรุปถ้านายทักษิณมีอิทธิพล ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐได้ละเว้น การปฏิบัติหน้าที่ประพฤติผิดกฎหมายตามมาตรา 157 นายทักษิณเข้าสู่ตัวการร่วมเป็นผู้สนับสนุนหรือเป็นผู้ทำให้เกิดได้ เพราะ นายทักษิณคือพ่อของนายกรัฐมนตรี เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี มีอิทธิพลต่อคนทั้งหมด จะอ้างว่าไม่เกี่ยวไม่ได้” นายสมชาย กล่าว -สำนักข่าวไทย