“ชาญชัย” จี้ไม่ให้ไต่สวนลับ “วิษณุ” ปมรักษาทักษิณชั้น 14

ศาลฎีกา 25 ก.ค.- “ชาญชัย” ขอไต่สวน “วิษณุ” 30 ก.ค. ปมรักษา “ทักษิณ” ชั้น 14 ไม่ให้ไต่สวนลับ ด้าน “หมอวรงค์” ลั่น คดีใกล้ตอกฝาโลงแล้ว ขณะที่ “สมชาย” ยื่นศาลฯ เพิ่ม 2 เรื่อง พบพิรุธไม่ได้รักษาตัวห้อง 1407 ตามที่ยื่นศาล บอกเป็นผู้มีอิทธิพลจะอ้างไม่เกี่ยวไม่ได้


นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.ประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี และ นายสมชาย แสวงการ อดีต สว. ให้สัมภาษณ์ภายหลังการไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีการเข้ารับโทษของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

นายชาญชัย เผยว่า วันนี้แพทยสภามาตามคำสั่งศาล ให้การชัดเจน ว่าศาลมีการซักถามถึงเอกสารและข้อชัดเจน ให้พยานของนายทักษิณสอบถามได้เต็มที่ แต่การถามของพยานนั้นทำให้ความจริงชัดขึ้น ว่าพยานกำลังบอกว่านายทักษิณผิดในส่วนไหน แต่ในความจริงได้เห็นองค์ความรู้อย่างหนึ่ง คือข้อกฎหมาย ข้อเท็จกระบวนการยุติธรรม ความถูกต้องก็ดี ได้ปรากฏชัดให้ประชาชนเรียนรู้ไปด้วยในตัว สิ่งที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองความถูกต้องอยู่ตรงไหน และจะจบสิ้นในอีกไม่เกิน 10 วันนี้ ก็คาดหวังให้ความจริงปรากฏและศาลก็ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย


ส่วนวันนี้ศาลก็ได้มีการรับเรื่องจากนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ที่ได้ร้องว่า นพ.วรงค์และตนได้มีการไลฟ์สดในบริเวณศาล โดยขอยืนยันว่าไม่ได้ไลฟ์สดแต่อย่างใด ซึ่งศาลก็ได้ยกคำร้อง ส่วนนัดครั้งหน้าที่จะมีนายวิษณุ เครืองาม เข้าให้ข้อมูลกับศาลนั้นไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการพิจารณาลับ เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างแรง ซึ่งนายวิษณุอย่าสร้างเงื่อนไขเรื่องนี้เด็ดขาด ถ้าหากจะมาให้ข้อมูล หรือนายทักษิณจะมีข้อตกลงอะไรก็ตาม ทั้งนี้ตนและพวกก็ไม่ได้ก้าวล่วงอำนาจของศาล เชื่อในกระบวนการยุติธรรมและเคารพศาลอยู่แล้ว

ส่วนสัปดาห์หน้าที่นายวิษณุจะมาให้ข้อมูลกับศาลนั้นจะเป็นคุณหรือเป็นโทษ อยู่ที่ศาลจะซักถามเรื่องอะไร ถ้าจะมองว่าเป็นการให้คุณให้โทษกับนายทักษิณ ก็ให้ทนายของนายทักษิณถามให้เต็มที่ และคำวินิจฉัยของแพทยสภาก็ออกมาชัดเจนไม่ได้มีการลำเอียง รวมถึงไม่ได้ไปลงโทษสุ่มสี่สุ่มห้า ถือว่ายังเบาไปสำหรับการกระทำดังกล่าวว่าไปช่วยคนหนึ่งที่ทำให้กระบวนการของแพทยสภาเสียหาย รวมถึงกระบวนการยุติธรรม และความเสียหายต่อประเทศ ถือเป็นเรื่องหนักมาก ศาลต้องมีคำวินิจฉัยออกมาให้ชัดเจน

ด้าน นพ.วรงค์ เผยว่า วันนี้ศาลได้มีการซักถามแพทยสภา 3 คน ในข้อกล่าวหาที่สังคมสงสัยว่า นักโทษรายนี้ป่วยหนักหรือป่วยวิกฤต ต้องนอนโรงพยาบาลตำรวจกว่า 180 วันหรือไม่ ขณะนี้กระบวนการพิจารณาตอกฝาโรงแล้ว เชื่อว่าทุกอย่างมีคำตอบจบไปแล้ว แยกเป็น 3 กรณีคือ การส่งตัวในคืนวันที่ 22 ส.ค.2566 ในข้อหาที่สงสัยว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งได้รับการยืนยันจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่า ไม่ได้เป็นโรคหัวใจขาดเลือด ถึงแม้จะมีประวัติ แต่ไม่ได้วิกฤต เพราะที่ส่งตัวมานั้นมาด้วยโรคหัวใจ แต่แพทย์ผู้รักษากลับเป็นแพทย์สมอง รวมถึงการอ้างเรื่องการหอบแต่ไม่มีการเอ็กซเรย์ปอด และปัญหาเรื่องโรคหัวใจก็ได้รับการยืนยันว่า ไม่ได้เป็นเรื่องวิกฤติเร่งด่วนที่จะต้องอยู่ในโรงพยาบาล ส่วนประเด็นนิ้วล็อคนั้นได้รับการยืนยันจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่านิ้วล็อคไม่ใช่วิกฤตฉุกเฉิน ที่จะต้องผ่าตัดโดยเร่งด่วน คนไข้สามารถนอนอยู่ที่บ้านแล้วมาผ่าตัดได้ และการผ่าตัดนิ้วล็อคเป็นการผ่าตัดเล็กไม่ได้ผ่าตัดใหญ่ไม่มีความจำเป็นต้องดมยาสลบ ส่วนใหญ่เป็นการฉีดยาชาเฉพาะที่ และในทางปฏิบัติผ่าตัดเรียบร้อยสามารถไปรักษาแผลที่บ้านได้ ส่วนประเด็นสุดท้ายคือเรื่องเอ็นหัวไหล่ฉีกขาด ในภาพรวมก็อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุก็ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า การผ่าตัดที่มีการส่องกล้องไม่ได้เป็นเรื่องฉุกเฉินที่ต้องผ่าตัดในทันทีทันใด สามารถนัดหมายมาผ่าตัดได้ ถ้าเป็นประชาชนทั่วไปก็ให้พักอยู่ที่บ้านเมื่อถึงเวลาที่พร้อมก็นัดหมายมาที่โรงพยาบาล และนัดผ่าตัด แต่การผ่าตัดนี้เป็นการผ่าตัดที่ต้องดมยาสลบ และถ้าคนไข้มีประวัติเรื่องโรคหัวใจ ที่ไม่ได้วิกฤตก็สามารถใช้ยาได้ กินยาแล้วก็นัดหมายการผ่าตัด จากภาพรวมพยายามพูดถึงเรื่องวิกฤตฉุกเฉิน แม้นักโทษจะมีโรคเยอะ แต่ถือว่าเป็นโรคเรื้อรังที่ให้กินยาต่อเนื่องได้โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล ถ้าหากคนไข้มีอาการกำเริบขึ้นมาก็จะเป็นเงื่อนไขที่จะนอนโรงพยาบาล แต่ข้อมูลที่เราได้ฟังมาโรคหลายหลายโรคไม่ได้กำเริบที่ต้องนอนโรงพยาบาลต่อเนื่อง ถึง 180 วัน และวันนี้แพทยสภาซึ่งถือเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มายืนยันการเจ็บป่วยของนายทักษิณ ถือว่าเป็นการตอกฝาโลง


นายแพทย์ตุลย์ เผยว่าจากวันนี้ได้ฟังพยานที่เป็นตัวแทนของแพทยสภา สรุปได้ว่าจบเห่ แต่ประเด็นสำคัญที่ทุกคนกำลังติดตามอยู่ ได้จากราชทัณฑ์ ได้จำคุกนายทักษิณตามหมายขังแล้วหรือไม่ การที่นำตัวทักษิณออกไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจโดยอ้างกฎกระทรวงในการส่งตัวผู้ป่วย ไปรักษานอกเรือนจำ ถ้าเกิดไม่มีหลักฐานอะไรเลยว่าต้องอยู่นอกเรือนจำ แปลว่าจะไม่มีการจำคุกตามหมายขัง คือต้องกลับไปที่เรือนจำตามหมายศาล และวันนี้ทำให้ทราบว่าใบคำสั่งแพทย์ ทำให้ทราบว่าไม่มีโรคหัวใจเฉียบพลันฉุกเฉินจนต้องส่งมาโรงพยาบาลตำรวจ ตามที่พยานคนแรกได้เห็นเหตุการณ์ ที่ได้ส่งตัวนายทักษิณมานอกเรือนจำ เป็นที่ปรากฏว่าไม่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ที่เกิดจากเส้นเลือดหัวใจอุดตัน ไม้มีการตรวจโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ด้านนายสมชาย เผยว่า วันนี้มีการส่งเอกสารเพิ่มเติมอีกสองส่วน ที่ได้มาจากแพทย์ผู้หวังดีและศาลได้เรียกเอกสารนั้นมาแล้ว คือใบเสร็จรับเงิน 2,400,000 บาท เป็นห้อง 1404 ไม่ใช่ห้อง 1407 ตามที่พยานจากกรมราชทัณฑ์เบิกความ และในหลักฐานก็บอกว่าใบที่จ่ายเงินและแพทย์ผู้รักษานายทักษิณที่บอกว่าอยู่ 179 วันนั้นอยู่ในห้อง 1404 และเป็นหลักฐานที่ให้ศาลออกไปที่โรงพยาบาลตำรวจ ว่าห้อง 1407 มีคนอื่นพักอยู่ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2566 จนถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ดังนั้นพยานที่มาให้การในศาล น่าจะเป็นข้อพิรุธที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ไต่สวนเพิ่มว่าเจ้าหน้าที่ควบคุมทั้งหมดที่อ้างว่าคุมตัวนายทักษิณอยู่ห้อง 1407 ทั้งพัสดีผู้บัญชาการ ในส่วนของกรมราชทัณฑ์ที่มาตรวจ ที่บอกอยู่ห้อง 1407 นั้น เป็นพยานที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ และถูกหักล้างได้ หลักฐานนี้ถือเป็นหลักฐานที่มีรายชื่อคนที่อยู่ ห้อง 1407 และบอกว่านายทักษิณอยู่ห้อง 1404 ส่วนใบเสร็จที่ได้มีการส่งไปแล้วนั้นเป็นประโยชน์ในการที่ศาลได้เรียกมา ที่มีการตรวจสอบว่ามีแต่ค่าห้องเป็นส่วนใหญ่ และตนคิดว่าคดีนี้จบแล้วถึงแม้ว่าพยานคนต่อไปจะให้การในเรื่องการเข้าเรือนจำ การขอพระราชทานอภัยโทษ เป็นเรื่องรอง แต่เรื่องการบังคับโทษของนายทักษิณนั้นชัดเจนว่ามีประเด็นปัญหาในเรื่องของกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ พยาบาลเวร พัศดีเวร ผู้บัญชาการเรือนจำ ผู้คุม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ปลัดกระทรวง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในส่วนของโรงพยาบาลตำรวจนั้น จะเป็นในเรื่องของจรรยาบรรณของแพทย์

“สรุปถ้านายทักษิณมีอิทธิพล ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐได้ละเว้น การปฏิบัติหน้าที่ประพฤติผิดกฎหมายตามมาตรา 157 นายทักษิณเข้าสู่ตัวการร่วมเป็นผู้สนับสนุนหรือเป็นผู้ทำให้เกิดได้ เพราะ นายทักษิณคือพ่อของนายกรัฐมนตรี เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี มีอิทธิพลต่อคนทั้งหมด จะอ้างว่าไม่เกี่ยวไม่ได้” นายสมชาย กล่าว -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดเนื้อหาหนังสือแจง UNSC กัมพูชาวางทุ่นระเบิด-เริ่มยิงก่อน

25 ก.ค.- เปิดเนื้อหาหนังสือจากผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติที่นิวยอร์ก เพื่อชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ส่งหนังสือชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า ขอแจ้งให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทุกท่านทราบ ถึงสถานการณ์อันร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย อันเป็นผลจากการรุกรานทางทหารของประเทศกัมพูชา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.     เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยกำลังลาดตระเวนตามเส้นทางปกติที่กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศไทย ทหารได้เหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ส่งผลให้ทหาร 2 นาย ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสส่งผลถึงขั้นพิการถาวร ขณะที่ทหารนายอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุ่นระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่ ยังมีเครื่องหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน หลักฐานบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไทยได้ยื่นรายงานประจำปีเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการตามพันธกรณีในอนุสัญญาดังกล่าว ตามมาตรา 7 ของอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง รายงานดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 และต่อมา ได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรมและการวิจัยในปี ค.ศ. […]

“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน”

ก.มหาดไทย 25 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน” ชี้รับฟังทุกความไม่พอใจ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามยุทธวิธี ให้ทหารมีอิสระในการทำงาน มอง “ก่อแก้ว” ขอศาล รธน. คืนอำนาจให้ “แพทองธาร” เป็นความเห็นเหมือนประชาชนจำนวนมาก แต่ให้เป็นตามกระบวนการยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุถึง อยากให้กองทัพสั่งสอนความเจ้าเล่ห์ของฮุนเซนก่อน ว่า ก็เหมือนประชาชนทั่วไป ที่เวลานี้มีความรู้สึกเช่นนั้น หลายคนแสดงความเห็นให้ทำแบบนู้นแบบนี้ เราก็รับฟังความห่วงใยความไม่พอใจที่เราถูกกระทำ ตนเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น และเห็นว่าเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพราะเรื่องอธิปไตยของประเทศ การรุกล้ำเข้ามา กระทบประชาชนเรายอมไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาทุกฝ่ายจะเห็นว่าเราประนีประนอม (Compromise) ให้มากที่สุด แต่เมื่อสิ่งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และเป็นปัญหา วันนี้จึงได้สั่งการให้ทหารมีอิสระในพื้นที่ โดยผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้คุมยุทธการ ปฏิบัติได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงได้มีการทำความเข้าใจกับ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการโทรคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด […]

เข้าสู่วันที่ 2 กัมพูชาเปิดฉากตั้งแต่เช้ามืด ที่ปราสาทตาเมือนธม

สุรินทร์ 25 ก.ค.-เข้าสู่วันที่ 2 เหตุปะทะไทย-กัมพูชา เริ่มเปิดฉากยิงกันตั้งแต่เช้ามืด บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะนี้เสียงยังดังต่อเนื่อง ก่อนขยายการสู้รบไปตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอีสานใต้ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นพื้นที่แรกที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนด้านปราสาทตาเมือนครับ เช้ามืดวันนี้ ราวตี 5 ครึ่ง ก็เริ่มปะทะกันอีก ขณะนี้ก็มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง เส้นทางจากอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เข้าสู่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แม้สายแล้ว ก็มีรถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยการสู้รบ โดยอำเภอพนมดงรักเป็นหนึ่งใน 4 อำเภอ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศให้ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นเข้าพื้นที่ร่วมกับอำเภอกาบเชิง บัวเชดและสังขะ โดยตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ในพื้นที่ตามแนวชายแดนได้ยินเสียงการปะทะด้วยกระสุนปืนใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง ผู้นำหมู่บ้านบันทึกสถิติเฉพาะฝั่งไทยตอบโต้เกินกว่า 100 ลูกแล้ว บ้านหนองแรด ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก ที่จรวดหลายลำกล้อง BM 21 ตกเยอะสุด 10 ลูก วานนี้โดยรอบหมู่บ้าน โชคดีไม่ลงบ้านเรือน มีกระจกแตกเล็กน้อยจากแรงอัดลูกจรวดเท่านั้น วันนี้ ยังมีชาวบ้านอยู่นับร้อยคนหลบอยู่ในหลุมหลบภัย จากทั้งหมด […]

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

กรมอุตุฯ เผย “เหนือ-อีสาน” ยังมีฝนตกหนักบางแห่ง

กทม. 26 ก.ค.- กรมอุตุฯ เผย “เหนือ-อีสาน” ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง เตือน 7 จังหวัดรับมือ อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ตาก บึงกาฬ สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ทั้งนี้เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุโซนร้อน “ก๋อมัย” บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก มีแนวโน้มเคลื่อนตัวไปทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย.- สำนักข่าวไทย

9 ทันโลก : แจงด่วน! คณะมนตรีความมั่นคง ไทยนี้รักสงบ

25 ก.ค. – นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะร่วมประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ตามที่กัมพูชาร้องขอไว้ รายงาน 9 ทันโลก พาไปติดตามบทบาทและโอกาสของไทยบนเวทีสำคัญนี้ ไทยในฐานะสมาชิกสหประชาชาตินานเกือบ 80 ปี จะได้แสดงบทบาทอีกครั้งในคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการสื่อสารกับประชาคมโลก ถึงการกระทำของกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศหลายด้าน รวมถึงกฎบัตรสหประชาชาติที่ไทยยึดมั่น ในห้องประชุมนี้ ไทยในฐานะสมาชิกสหประชาชาติ ลำดับที่ 55 จะทำหน้าที่อีกครั้งในภารกิจด้านสันติภาพ ตั้งแต่เข้าเป็นสมาชิกเมื่อปี 2489 ที่นี่ไทยเคยทำหน้าที่ประธานการประชุมคณะมนตรีความมั่นคง โดยพลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา และหม่อมหลวง พีระพงศ์ เกษมศรี ทำหน้าที่สองวาระ ในปี 2528 และ 2529 ในเวลาที่สงครามเย็นคุกรุ่น มาในวันนี้ไทยกำลังจะมีโอกาสอันดีที่ได้ใช้ช่องทางการทูตสำคัญ เสาหลักความมั่นคงของสหประชาชาติ ในอีกบทบาทหนึ่งที่ยังคงอยู่บนพื้นฐานการแสวงหาสันติภาพตามกลไกนี้ เมื่อประเทศสมาชิก ในกรณีนี้คือกัมพูชา ร้องขอให้เปิดประชุมเร่งด่วน สมาชิกคณะมนตรีซึ่งมีสมาชิกถาวร 5 ประเทศ และสมาชิกไม่ถาวร 10 ประเทศ พิจารณากรณีที่เป็นภัยคุกคามใดต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ เช่น กรณีการปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา […]

น่านยังอ่วม บางจุดน้ำท่วมสูงเกือบ 2 เมตร

น่าน 25 ก.ค. – เข้าสู่วันที่ 3 น้ำท่วมใหญ่เป็นประวัติการณ์ของเมืองน่าน แม้ระดับน้ำลดลงบ้างแล้ว แต่ในตัวเมือง-เขตเศรษฐกิจยังท่วมสูง บางจุดระดับน้ำเกือบ 2 เมตร ขณะที่ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” นำทีมกู้ภัยฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวเข้าช่วยเหลือชาวบ้าน .-สำนักข่าวไทย

มีผลทันที! ประกาศกฎอัยการศึก 8 อำเภอ “จันทบุรี-ตราด”

25 ก.ค.- กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ประกาศใช้กฎอัยการศึกบางพื้นที่ มีผลทันที กองทัพเรือ โดย กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด “ประกาศใช้กฎอัยการศึก” บางพื้นที่ ดังนี้ ตามที่ได้มีประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลงวันที่ 19 กันยายน 2549 ให้ใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 เวลา 21.05 นาฬิกา ซึ่งต่อมาได้มีพระบรมราชโองการเลิกใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ และให้ใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2550 นั้น โดยที่ปรากฏว่าประเทศกัมพูชาได้ใช้กำลังและอาวุธรุกรานเข้ามาในราชอาณาจักรไทยตลอดแนวชายแดน จึงมีความจำเป็นโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ที่ต้องใช้กำลังทหาร ตำรวจ พลเรือน ตลอดจนประชาชนชาวไทยทุกคน เพื่อป้องกันประเทศให้พ้นจากภัยคุกคามอันมีที่มาจากภายนอกราชอาณาจักรดังกล่าว เพื่อรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดน ตลอดจนชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย และจำเป็นต้องประกาศใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่เพิ่มเติม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 176 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457 จึงให้ใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่เพิ่มเติม ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 จังหวัดจันทบุรี อำเภอเมืองจันทบุรี […]