ศาลปกครอง 5 ก.ย.- ศาลปกครองสั่ง รฟท.ชดใช้ “ประภัสร์ ” กรณีเลิกจ้างก่อนครบสัญญา 3.1 ล้าน ชี้คำสั่ง คสช.ให้พ้นจากตำแหน่งชอบด้วยกฎหมาย
ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จ่ายเงินชดใช้กรณีเลิกจ้างก่อนครบสัญญาให้นายประภัสร์ จงสงวน อดีตผู้ว่าการ รฟท. จำนวน 3,139,452.05 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินต้น 2,800,000 นับจากวันที่ 11 เม.ย. 59 ซึ่งเป็นวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น โดยให้ชำระให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
คดีดังกล่าวเนื่องมาจาก รฟท.ได้ว่าจ้างนายประภัสร์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ รฟท.ตามสัญญาลงวันที่ 14 พ.ย. 55 แต่ต่อมา คสช.ได้มีคำสั่ง 89/2557 ลงวันที่ 10 ก.ค. 57 ให้พ้นจากตำแหน่ง นายประภัสร์ เห็นว่าทำให้เกิดความเสียหาย จึงได้ฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ส่วนเหตุที่ศาลสั่งให้ รฟท.ชดใช้เนื่องจากเห็นว่า การที่หัวหน้า คสช.มีคำสั่ง 89/2557 ลงวันที่ 10 ก.ค. 57 ให้นายประภัสร์พ้นจากตำแหน่ง แม้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า รฟท.เป็นผู้เสนอ ครม.ให้เห็นชอบตามมาตรา 31 วรรค 3 พ.ร.บ.การรถไฟ 2494 แต่เมื่อ คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ หัวหน้าคสช.จึงเป็นผู้มีอำนาจในการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจตามประกาศ คสช.ฉบับที่ 10/2557 เรื่องให้อำนาจหน้าที่ของนายกฯ เป็นอำนาจหน้าที่ คสช.ลงวันที่ 22 พ.ค.2557 ดังนั้น การที่หัวหน้าคสช.มีคำสั่ง 89/2557 ให้นายประภัสร์ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการ รฟท. จึงเป็นการใช้อำนาจในฐานะผู้กำกับดูแลเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล เพื่อให้การปฏิบัติงานของ รฟท.เป็นไปด้วยความเรียบร้อยเหมาะสมยิ่งขึ้น
ซึ่งมีผลทำให้นายประภัสร์ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการ รฟท.ตามคำสั่งที่ประธานกรรมการ รฟท.ได้แต่งตั้ง ตามคำสั่งคณะกรรมการ รฟท.ที่ 22/2555 ลงวันที่ 14 พ.ย.2555 เรื่องแต่งตั้งผู้ว่าการ รฟท. ไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจในฐานะคู่สัญญาในการเลิกสัญญา อันจะมีผลให้สัญญาจ้างผู้ว่าการ รฟท.ลงวันที่ 14 พ.ย. 2555 สิ้นสุดลง และการที่นายประภัสร์ ต้องพ้นจากตำแหน่ง ตามคำสั่ง คสช.ดังกล่าว ก็ไม่ใช่กรณีที่มีผลให้สัญญาสิ้นสุดลงตามที่ได้กำหนดไว้อย่างชัดแจ้งในข้อ 5.2 ของสัญญาจ้าง
คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ให้นายประภัสร์ พ้นจากตำแหน่ง จึงไม่มีผลให้สัญญาจ้างนายประภัสร์ เป็นผู้ว่าการ รฟท.ฉบับลงวันที่14 พ.ย.2555 สิ้นสุดลงแต่อย่างใด รฟท.จึงยังคงมีสิทธิตามสัญญญา เช่นคู่สัญญาพึงมีซึ่งสิทธิที่ว่านั้น รวมถึงสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาดังกล่าว เนื่องจากเป็นสิทธิของคู่สัญญาโดยแท้ แต่ รฟท.ก็ไม่บอกเลิกสัญญา ทั้่งที่ทราบดีอยู่แล้วว่าคำสั่ง คสช.ที่ให้นายประภัสร์ พ้นจากตำแหน่งชอบด้วยกฎหมาย ด้วยรัฐธรรมนูญและเป็นที่สุดตามมาตรา 47 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) 2557 ซึ่ง รฟท.ในฐานะผู้ว่าจ้างและผู้อยู่ใต้อำนาจการกำกับดูแลของ คสช. จึงไม่อาจดำเนินการเป็นอย่างอื่นนอกจากบอกเลิกสัญญาเท่านั้น
แม้ว่าไม่ปรากฏว่า รฟท.บอกเลิกจ้างสัญญาโดยแจ้ง แต่เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีเห็นว่า รฟท.มีเจตนาเลิกสัญญากับนายประภัสร์ โดยปริยายแล้ว จึงมีผลให้สัญญาจ้างระหว่าง รฟท.กับนายประภัสร์ สิ้นสุดลง หรือเลิกกันไปโดยปริยายตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. โดยที่นายประภัสร์ ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา รฟท.จึงต้องรับผิดต่อนายประภัสร์ ตามสัญญาข้อ 5.4 ที่กำหนดว่าหากผู้ว่าจ้างต้องการบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดเวลา โดยที่ผู้รับจ้างไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ผู้ว่าจ้างจะมีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้รับจ้างไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยผู้ว่าจ้างจะจ่ายเงินค่าตอบแทนเท่ากับค่าจ้างเดือนสุดท้ายของผู้รับจ้าง คูณด้วยระยะเวลาที่เหลืออยู่ แต่ไม่เกิน 6 เดือน
ซึ่งข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายประภัสร์ ได้รับเงินเดือนในอัตราเดือนละ 4 แสนบาท และเมื่อข้อ1 ของสัญญาจ้างกำหนดเวลาจ้างตั้งแต่ 14 พ.ย.255-17 พ.ค.2558 แต่สัญญาสิ้นสุดลงก่อนในวันที่ 10 ก.ค.57 นายประภัสร์ จึงมีสิทธิ ได้รับค่าตอบแทนเท่าค่าจ้างเดือนสุดท้ายของนายประภัสร์ คูณด้วยระยะเวลา 6 เดือนรวมเป็นเงิน 2.4 ล้านบาท และรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยผิดนัดให้แก่นายประภัสร์ ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ของต้นเงินจำนวน 2.4 ล้านบาท นับตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.57 จนถึงวันที่ 11 เม.ย.59 ซึ่งเป็นวันฟ้องคดี รวมเป็นระยะเวลา 642 วัน คิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน 316,602.74 บาท และต้องรับผิดชดใช้เงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับอัตราค่าจ้างเดือนสุดท้ายหนึ่งเดือน เป็นเงิน 400,000บาท ตามมาตรา 582 วรรค1 ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ประกอบข้อ 5.4ของสัญญาจ้างและรับผิดชดใช้เงินค่าตอบแทนพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปีของต้นเงินจำนวน400,000บาท ตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค.58 ถึงวันที่ 11 เม.ย.59 คิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน22,849.31 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 3,139,452.05 บาท
ด้านนายประภัสร์ กล่าวว่า ที่ต้องมาฟ้องเพราะบอร์ด รฟท. ในขณะนั้นตัดสินใจไม่ยอมจ่ายชดเชยการเลิกจ้าง ซึ่งไม่ได้พิจารณาตามข้อกฎหมาย แต่ทำตามอำเภอใจ เรื่องนี้น่าเสียดายว่าไม่ควรที่จะเกิดขึ้น น่าจะให้เป็นตามสัญญา ก็ไม่ต้องมาเสียเงินดอกเบี้ยเพิ่มเติม จากเงินค่าจ้างที่ต้องจ่าย แต่กลับทำให้หน่วยงานต้องเสียค่าดอกเบี้ยเพิ่มจากเงินเดือนชดเชยที่ต้องได้ บอร์ด รฟท.ชุดนั้นจึงควรต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น เพราะเป็นผู้ออกคำสั่ง ตนไม่ติดใจหรือต่อว่ารัฐบาล คสช. เพราะเข้าใจเรื่องของความเหมาะสมต้องการคนที่ตัวเองไว้ใจมาทำงาน ซึ่งเป็นสิทธิ์ในการบริหารงานสามารถทำได้
อย่างไรก็ตาม หากคู่กรณีไม่พอใจผลคำพิพากษาก็สามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายใน 30 วัน.-สำนักข่าวไทย