กรุงเทพฯ 26 มิ.ย. – เอสเอ็มอีแบงก์ปรับเกณฑ์ให้สินเชื่อสตอกวัตถุดิบเกษตร จากไม่เกิน 3 เท่าของยอดขายต่อเดือนเป็น 9 เท่า มุ่งลดปริมาณสินค้าเกษตรล้นตลาด โดยเฉพาะสับปะรดและกล้วย
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เปิดเผยว่า ธนาคารปรับเกณฑ์การให้สินเชื่อเพื่อการเก็บตุน (stock) วัตถุดิบเกษตร สินค้าเกษตรแปรรูป จากไม่เกิน 3 เท่าของยอดขายต่อเดือน เป็น 9 เท่าของยอดขายต่อเดือน เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่มโรงงานอาหารแปรรูป สินค้าเกษตรแปรรูป และห้องเย็น เป็นต้น มีเงินทุนมากขึ้น สำหรับนำไปซื้อวัตถุดิบเกษตรต่าง ๆ ซึ่งเวลานี้ล้นตลาด โดยเฉพาะสับปะรดและกล้วย ช่วยพยุงราคาสินค้า ลดปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดมากเกินไป และเพิ่มโอกาสการระบายสินค้าแก่เกษตรกร ขณะเดียวกันช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบการเกษตรจำนวนมากซื้อวัตถุดิบคุณภาพดีราคาถูก เป็นการลดต้นทุน และยังมีวัตถุดิบเก็บตุนไว้แปรรูปจำนวนมาก ช่วยให้ธุรกิจไม่สะดุด
ทั้งนี้ สินเชื่อที่ธนาคารปรับเกณฑ์เป็นกลุ่มสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ได้แก่ สินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 สำหรับนิติบุคคล คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 7 ปี ไม่ต้องใช้หลักประกัน เปิดโอกาสให้รายย่อยที่มีปัญหาทางการเงินสามารถกู้ได้ (แม้เคยปรับโครงสร้างหนี้ หรือผ่อนชำระไม่ต่อเนื่องมาก็ตาม) ชำระแต่ดอกเบี้ยอย่างเดียวปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุด 3 ปีผ่อนชำระเพียง 410 บาทต่อวัน และสินเชื่อเศรษฐกิจติดดาว สำหรับกลุ่มบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลประเภทธุรกิจเกษตรแปรรูปธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนและเชื่อมโยงต่อเนื่อง รวมทั้งผู้ประกอบการใหม่มีนวัตกรรม ธุรกิจผลิตหรือบริการต่าง ๆ ในชุมชนจะพาเข้าใช้บริการ คิดอัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 3 คงที่ 3 ปีแรกผ่อนนาน 7 ปี ไม่มีหลักประกัน สามารถใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันฟรี 4 ปีแรก โดยกู้ 1 ล้านบาทผ่อนเพียง 460 บาทต่อวันเท่านั้น โดยการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจะมุ่งใช้เกณฑ์กับคุณสมบัติเป็นหลักสำคัญ ทำให้การพิจารณาเกิดความเท่าเทียมและรวดเร็ว สามารถรู้ผลการพิจารณาได้ในเวลาเพียง 7 วันเท่านั้น
นายมงคล กล่าวเสริมว่า สำหรับเกษตรกรที่เคยแต่ปลูกและขายวัตถุดิบ หากต้องการยกระดับธุรกิจ ก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรแปรรูป หรือต่อยอดทำธุรกิจท่องเที่ยวเชิงเกษตร สามารถเข้ามาใช้บริการสินเชื่อดังกล่าวได้เช่นกัน ซึ่งระยะยาวจะช่วยให้เกิดความยั่งยืน เพราะสามารถทำธุรกิจด้านเกษตรได้ครบวงจร เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เพราะสามารถเพิ่มมูลค่าสินค้า ขยายตลาดได้กว้างไกลทั้งในและต่างประเทศ ที่สำคัญ หลีกเลี่ยงปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ .-สำนักข่าวไทย