fbpx

พม.แจงประเด็น ค้าประเวณีกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน

พม.4 มิ.ย.-กรมกิจการสตรีฯ ชี้แจงประเด็นจากเวทีเสวนา ปัญหาการค้าประเวณีกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ยืนยันมีมาตรการคุ้มครอง-ป้องกัน ทั้งเชิงรุก-รับ โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเคารพ หลักสิทธิมนุษยชน  


นายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เปิดเผยถึงปัญหาการค้าประเวณีกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ ซึ่งเคลื่อนไหวด้านการคุ้มครองสิทธิผู้ประกอบอาชีพบริการ จัดเสวนาปัญหาการค้ามนุษย์ ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2561 เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นหลังการล่อซื้อ-จับกุม ซึ่งมีทั้งการเลือกปฏิบัติ ละเมิดสิทธิมนุษยชน และไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศนั้น ว่า การเสวนาข้างต้นได้มีประเด็นที่ว่า แม้รัฐบาลไทยมีนโยบายต่อต้านการค้ามนุษย์และค้าประเวณี แต่ผู้หญิงที่ถูกจับในคดีค้าประเวณี กลับไม่ได้รับการปกป้อง และมักจะถูก ‘ละเมิดซ้ำ’ จากกระบวนการทางกฎหมาย เช่น การบุกจับกุมโดยวิธีการ ‘ล่อซื้อ’ ทั้งที่อาจเป็นความพึงพอใจส่วนบุคคล ไม่ได้เกี่ยวกับการค้าประเวณี ซึ่งในระดับสากลถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน 


ขณะที่ตัวแทนของรัฐบาลไทยเคยยืนยันในเวทีการประชุมด้านสิทธิมนุษยชนที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์เมื่อปี 2560 ว่า “ไทยไม่มีนโยบายล่อซื้อ” และมองว่าประเทศไทยมีบทลงโทษการค้าประเวณี แต่กลับมีสถานบริการต่าง ๆ จนเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่การบุกจับกุมในคดีค้าประเวณีในไทย เป็นการดำเนินการที่มีอคติกับผู้หญิงค้าประเวณี เพราะผู้ชายที่เป็นผู้ซื้อได้รับการปล่อยตัว แต่ผู้หญิงกลับถูกคลุมโม่ง 


นอกจากนี้ การจับกุมตัวบางกรณีมีการเปิดเผยตัวตน ทำให้ได้รับผลกระทบไปถึงครอบครัวและสังคม ถูกตัดขาดไม่ให้ติดต่อกับครอบครัว หรือถูกควบคุมตัวเป็นเวลานานหลายเดือน โดยอ้างว่าเป็นการคุ้มครองเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ ผู้ถูกควบคุมตัวที่ขายบริการโดยสมัครใจ โดยเฉพาะชาวเมียนมาและลาว ถูกส่งตัวไปห้องกักขังของ ตม. ซึ่งมีสภาพแออัด เมื่อเจ็บป่วยไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอ อีกทั้ง ยังกล่าวถึงอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ หรือซีดอ (CEDAW) ซึ่งทางการไทยได้ให้สัตยาบันไว้ มีเนื้อหาตอนหนึ่งที่ระบุให้แต่ละประเทศ ‘ยกเลิกความผิดทางอาญาที่เกี่ยวกับการค้าประเวณี’ และให้คุ้มครองสิทธิผู้ขายบริการโดยสมัครใจ เช่นเดียวกับการคุ้มครองแรงงานที่ประกอบอาชีพอื่นๆ จึงขอให้รัฐบาลพิจารณายกเลิก พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี และยกเลิกการดำเนินคดีอาญากับผู้ขายบริการให้สอดคล้องกับความเป็นจริง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการค้าประเวณี

นายเลิศปัญญา กล่าวต่ออีกว่า จากประเด็นดังกล่าว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)โดยกรมกิจการสตรีฯซึ่งเป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบการขับเคลื่อนภารกิจตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ในการกำหนดมาตรการบทลงโทษ มีทั้งโทษจำคุก โทษปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงการลดโทษแก่ผู้กระทำการค้าประเวณี และคุ้มครองบุคคลที่ถูกค้าประเวณี โดยเฉพาะเด็ก และเยาวชนที่อาจถูกล่อลวง หรือชักพาไปเพื่อการค้าประเวณี และมีการคุ้มครองและฟื้นฟูผู้กระทำการค้าประเวณีให้ได้รับการอบรมฟื้นฟูจิตใจ การบำบัด รักษาโรค การฝึกอบรมและพัฒนาอาชีพ ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยการขับเคลื่อนภารกิจตามพ.ร.บ.ดังกล่าวจะอยู่ในรูปของคณะกรรมการ จำนวน 2 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ (ก.ค.อ.) และคณะกรรมการคุ้มครองและพัฒนาอาชีพประจำจังหวัด (ก.ค.อ.จังหวัด) มุ่งเน้นในส่วนของการคุ้มครองและป้องกันการค้าประเวณีเป็นสำคัญ และคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเคารพหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีมาตรการเชิงรุกและเชิงรับ โดย มาตรการเชิงรุก เน้นหนักในเรื่องการป้องกันกลุ่มเสี่ยงที่อาจถูกล่อลวงสู่การค้าประเวณี โดยการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ ส่งเสริมและฝึกอบรมวิชาชีพ สร้างงานสร้างรายได้ สร้างทางเลือกในการประกอบอาชีพ และสร้างกลุ่มอาชีพ ตลอดจนให้แนวทางองค์ความรู้ทางการตลาด การจัดจำหน่าย โดยการสานฝันกลุ่มเหล่านั้นด้วยร้าน “ทอฝัน” เพื่อเป็นทางเลือกในการประกอบอาชีพอย่างยั่งยืน 

ส่วนมาตรการเชิงรับ ได้ใช้หลักการอาชีวบำบัดสำหรับกลุ่มที่ตกเป็นเหยื่อของการค้าประเวณีแล้ว เพื่อฝึกอบรมให้ทักษะทั้งทางกาย จิตใจ และการดำรงชีวิตในสังคมภายหลังที่ได้กลับคืนภูมิลำเนาโดยมุ่งหมายมิให้หวนคืนกลับไปสู่การค้าประเวณี โดยเฉพาะผู้กระทำการค้าประเวณีเป็นเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ต้องให้การคุ้มครองและพัฒนาอาชีพแทนการลงโทษและให้ความรู้ทักษะในการดำรงชีพ เพื่อคืนกลับสังคมได้อย่างปกติสุข (มาตรา 34) ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวได้คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน และมุ่งเอาผิดต่อผู้ซื้อประเวณี ผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และบิดา มารดา ผู้ปกครอง ที่ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้อยู่ในอำนาจปกครองกระทำการค้าประเวณี

 

“ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 กำหนดความผิดและโทษสำหรับการค้าประเวณีที่ได้กระทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญหรือ เป็นที่น่าอับอายในที่สาธารณะ โดยระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาทและหากผู้กระทำการค้าประเวณีเป็นเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ต้องให้การคุ้มครองสวัสดิภาพด้วยการฝึกอาชีพและให้ความรู้ทักษะในการดำรงชีพ เพื่อคืนกลับสังคมได้อย่างปกติสุข ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวได้คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนและมุ่งเอาผิดต่อผู้ซื้อประเวณีผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และบิดา มารดา ผู้ปกครองที่ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้อยู่ในอำนาจปกครองกระทำการค้าประเวณี สำหรับ กรณีการให้ยกเลิกความผิดทางอาญาที่เกี่ยวกับการค้าประเวณีและให้คุ้มครองสิทธิผู้ขายบริการโดยสมัครใจเช่นเดียวกับการคุ้มครองแรงงานที่ประกอบอาชีพอื่น ๆ นั้น พม. ได้คำนึงถึงความสำคัญของพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 ซึ่งจะต้องมีความเหมาะสม เป็นธรรม ไม่เป็นภาระแก่ประชาชน ตลอดจนสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 พระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. 2558 และอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on The Elimination of All Forms of Discrimination against Women – CEDAW) รวมถึงการดำเนินชีวิตและเทคโนโลยีที่มีความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน จึงได้ดำเนินการศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อปรับปรุงพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 โดยกำหนดโครงสร้างทางกฎหมายให้ครอบคลุมทั้งมาตรการป้องกัน ปราบปราม และการคุ้มครองสวัสดิภาพ และคำนึงถึงหลักการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบที่กำหนดใน CEDAW รวมทั้งจะต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียในการจัดทำร่างกฎหมายตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ต่อไป” นายเลิศปัญญา กล่าว  .-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ระทึก! สารแอมโมเนียจากโรงน้ำแข็งรั่ว บาดเจ็บนับร้อย

ระทึกกลางดึก สารแอมโมเนียรั่วในโรงน้ำแข็ง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ชาวบ้านสูดดม ได้รับผลกระทบกว่า 100 คน ต้องกระจายส่งตาม รพ. ต่างๆ

จับแล้ว! ชายอินเดียฆ่าปาดคอหญิงวัย 51 ปี

เกิดเหตุฆ่าปาดคอหญิงอายุ 51 ปี ในโรงแรมท้องที่ สน.ตลาดพลู ผู้ต้องสงสัยเป็นชายชาวอินเดียที่อยู่ด้วยกันในโรงแรม กว่า 1 สัปดาห์ ก่อนหายตัวไปหลังเกิดเหตุ ล่าสุดตามจับได้แล้ว สารภาพอ้างแค้นผู้ตายไม่คืนเงิน

วัยรุ่นเชียงใหม่ ตะลุมบอนงานไม้ค้ำ จ.เชียงใหม่

กลุ่มวัยรุ่นตะลุมบอนชกต่อยกันในงานแห่ไม้ค้ำโพธิ์ จ.เชียงใหม่ ขณะที่ผู้จัดงานติดป้ายเตือนทะเลาะวิวาทในงาน จับได้ปรับ 75,000 มอบให้คนถ่ายคลิป 5,000

ล่า “จัก เขาบายศรี” ถ้าต่อสู้อาจจำเป็นต้องวิสามัญ

ตำรวจปิดล้อมตรวจค้นหลายจุดทั่วเมืองชลบุรี ล่าตัว “จัก เขาบายศรี” มือกราดยิงวันไหล ย่านบ่อนไก่ จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต หากเจอตัวแล้วยิงต่อสู้ อาจจำเป็นต้องวิสามัญ วอนญาติรีบประสานพามามอบตัว

ข่าวแนะนำ

ติดตามโครงการทางแยกต่างระดับ แยกท่าเรือ จ.ภูเก็ต

จ.ภูเก็ต 19 เม.ย.-นายกฯ ติดตามโครงการทางแยกต่างระดับ แยกท่าเรือ จ.ภูเก็ต พร้อมสำรวจการจราจร วงเวียนอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร

อิสราเอลแจ้งสหรัฐล่วงหน้า เรื่องเอาคืนอิหร่านวันนี้

อิสราเอลได้แจ้งสหรัฐล่วงหน้าเรื่องจะโจมตีเอาคืนอิหร่านในวันนี้ แต่สหรัฐไม่ได้ให้ความเห็นชอบกับการตัดสินใจของอิสราเอล

ราคาทองคำ-น้ำมันผันผวน หุ้นไทยร่วงหลังมีข่าว อิสราเอลบุกอิหร่าน

กรุงเทพฯ 19  เม.ย.-ราคาทองคำ-น้ำมันหันผวนหนักหลังมีข่าว อิสราเอลบุกอิหร่าน หุ้นไทยร่วงกว่า 20 จุด โบรกเกอร์แนะถือเงินสด สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ในช่วงเช้าวันนี้ ราคาทองคำ-น้ำมันเอเชียขยับขึ้นแรง โดยราคาน้ำมันดิบขึ้นถึง 3 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ราคาทองคำในเอเชีย ขยับขึ้นร้อยละ 1.6 เป็น 2,414.69 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ตลาดกังวลว่าอิสราเอลจะโจมตีแก้แค้นอิหร่าน เพราะนายกรัฐมนตรีอิสราเอล ประกาศเมื่อต้นสัปดาห์ว่า จะแก้แค้นหลังจากถูกอิหร่านโจมตีหลายระลอก  ในขณะที่สำนักข่าวต่างประเทศ ABC News รายงานว่า อิสราเอลได้ยิงขีปนาวุธโจมตีดินแดนอิหร่านในช่วงเช้าวันนี้ (19 เม.ย.) โดยรายงานดังกล่าวมีขึ้นไม่นานหลังจากแหล่งข่าวท้องถิ่นระบุว่า เกิดเหตุระเบิดขึ้นในหลายพื้นที่ได้แก่ในเมืองอิสฟาฮานทางตอนกลางของอิหร่าน, ในเขตอัสซุวัยดาอ์ทางตอนใต้ของซีเรีย, ในกรุงแบกแดด และในเขตบาบิลของอิรักในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่สื่ออิหร่านรายงานว่า ได้ยินเสียงระเบิดที่ท่าอากาศยานในเมืองอิสฟาฮาน แต่ยังไม่รู้สาเหตุ ด้านราคาทองคำในไทยประกาศโดยสมาคมผู้ค้าทองคำเปิดตลาดพุ่งขึ้นทันที 550 บาท/บาททองคำ ทองแท่งขายออก บาทละ 42,000 บาท  รูปพรรณ ขายออก 42,200 บาท คำนวณจากทองเอเชีย 2,409 ดอลลาร์/ออนซ์ เงินบาท 36.86 […]