กรุงเทพฯ 25 พ.ค. – หลังมีการจับกุมและดำเนินคดีพระชั้นผู้ใหญ่ในคดีต่างๆ ทำให้หลายฝ่ายวิตกว่า อาจสั่นสะเทือนวงการพระพุทธศาสนาอย่างหนัก โดยนักวิชาการชำแหละปัญหาว่า มาจากโครงสร้างมหาเถรสมาคม ที่ไม่สามารถตรวจสอบการกระทำผิดได้อย่างเข้มแข็ง
การบุกเข้าตรวจค้นวัดและจับกุมผู้ต้องหาคดีเงินทอนวัด ลอต 3 สร้างความสั่นสะเทือนวงการพระสงฆ์ เมื่อผู้ต้องหาสำคัญในคดี คือ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ที่มีทั้งระดับเจ้าอาวาสวัด ผู้ช่วยเจ้าอาวาส และยังเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมอีกด้วย
นักวิชาการด้านศาสนา ให้ข้อมูลว่า สังคมมักคาดหวังว่า พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ควรต้องมีคุณธรรม จริยธรรม แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง พระสงฆ์ก็ยังเป็นบุคคลธรรมดาที่อาจกระทำผิดได้ แต่สิ่งสำคัญที่สะท้อนออกมา คือ อำนาจการปกครองในคณะสงฆ์ของไทยเป็นแบบอำนาจรวมศูนย์ โดยมีมหาเถรสมาคมเป็นองค์กรสูงสุดในการปกครองคณะสงฆ์ กุมอำนาจทั้งอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ และพระสงฆ์ที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมจะดำรงตำแหน่งยาวนาน จึงมีความพยายามที่จะเข้าถึง และเสนอผลประโยชน์กันอย่างชัดเจน และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเหตุการณ์พระชั้นผู้ใหญ่กระทำความผิด
นักวิชาการมีข้อเสนอแนะว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่อยากให้มองว่าเป็นปัญหาของพระสงฆ์ฝั่งมหานิกายหรือธรรมยุติ แต่อยากให้มองภาพรวมว่าเป็นปัญหาที่โครงสร้างมหาเถรสมาคม ที่ไม่สามารถจัดการปัญหาได้ ระบบตรวจสอบไม่เข้มแข็ง ขณะที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่ส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา ก็กลับเกิดการทุจริตเสียเอง ทำให้เมื่อเกิดปัญหาขึ้น กลายเป็นหน่วยงานอื่นที่ต้องเข้ามาแก้ปัญหา
พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ มีการประกาศใช้ครั้งแรกในประเทศไทย สมัยรัชกาลที่ 5 ชื่อว่า พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ร.ศ. 121 และมีมหาเถรสมาคมเกิดขึ้น เป็นการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 8 มีการแก้ไขเป็น พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 สาเหตุจากมีข้อเรียกร้องว่า เกิดความไม่เสมอภาคของพระสงฆ์ โดยเป็นการปกครองแบบ “สังฆสภา” หรือรัฐสภา โดยมีสังฆสภา ทำหน้าที่นิติบัญญัติ คณะสังฆมนตรี ทำหน้าที่บริหาร และคณะวินัยธร ทำหน้าที่พิจารณาอธิกรณ์ หรือตุลาการ หลังประกาศใช้ได้ 21 ปี ก็ถูกยกเลิกไป และมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แทน มีมหาเถรสมาคมเป็นองค์กรสูงสุดในการปกครองคณะสงฆ์ไทย
ต่อมามีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 และใช้มาจนถึงขณะนี้ ซึ่งสาระสำคัญยังคงเป็นการรวมศูนย์อำนาจ. – สำนักข่าวไทย