สถาบันประสาทวิทยา 23 พ.ค..- เตือนประชาชนตื่นตัวป้องกัน หากพบแขน ขาอ่อนแรง
สับสน พูดลำบาก มองเห็นลดลง ให้รีบพบแพทย์ใน 3 ชั่วโมงครึ่ง
เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคอัมพฤกษ์ – อัมพาต
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า
องค์การอนามัยโลกกำหนดให้ วันที่ 24
พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันอัมพฤกษ์ อัมพาตโลก หรือ “วันหลอดเลือดสมอง”
เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตื่นตัวตระหนักถึงความสำคัญของโรคดังกล่าว
หากประชาชนรู้จักวิธีดูแลตนเองและหมั่นสำรวจความผิดปกติของร่างกายอยู่เสมอจะสามารถป้องกันและลดความรุนแรงของโรคได้
ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง
มีญาติสายตรงป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
ขาดการออกกำลังกาย น้ำหนักเกิน สูบบุหรี่ เป็นต้น ทั้งนี้ผู้ป่วยจะมีอาการเตือนสำคัญ คือ แขน ขาอ่อนแรงซีกเดียวของร่างกาย สับสน
พูดลำบาก พูดไม่รู้เรื่อง ตามองเห็นลดลง 1 หรือทั้ง 2 ข้าง มีปัญหาการเดิน มึนงง
ซึ่งอาการเหล่านี้มักเกิดฉับพลันให้รีบมาพบแพทย์ด่วนที่สุดภายใน 3 ชั่วโมงครึ่ง
จะรักษาชีวิตและฟื้นฟูให้กลับมาเป็นปกติหรือใกล้เคียงได้มากที่สุด
สำหรับการลดความเสี่ยง ได้แก่ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม
ไขมันสูง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ควบคุมน้ำหนัก งดเครื่องดื่มมึนเมา เลี่ยงสูบบุหรี่ และตรวจสุขภาพประจำปี
แพทย์หญิงไพรัตน์ แสงดิษฐ
ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า
ปัญหาที่สำคัญของผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต คือ การที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้
จำเป็นต้องรักษาหรือฟื้นฟูด้วยวิธีต่างๆ เพื่อให้ร่างกายมีสภาพที่ดีขึ้น
สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น
สำหรับวิธีการฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาตควรทำความเข้าใจร่วมกันระหว่างแพทย์
ผู้ป่วยและผู้ดูแล เพื่อการดูแลได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เนื่องจากเป็นการฟื้นฟูผู้ป่วยที่เจ็บป่วยเรื้อรังหรือฉับพลัน
เพื่อลดความพิการหรือป้องกันความพิการให้ได้มากที่สุด
สามารถใช้ชีวิตให้เป็นปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
สำหรับการวินิจฉัยโรคว่าคนไข้อ่อนแรงจากอัมพฤกษ์ อัมพาตหรือไม่
หรือเป็นที่กล้ามเนื้อและกระดูก แพทย์จะซักประวัติและอาจเอกซเรย์สมองร่วมด้วย
หากพบว่าเป็นโรคดังกล่าวจะส่งให้แพทย์ดูแลอาการให้สภาพคงที่
จากนั้นส่งไปยังศูนย์ฟื้นฟูกายภาพบำบัด ดังนั้นประชาชนจึงควรมีความรู้เบื้อต้นในการป้องกันการเกิดโรคอัมพฤกษ์
อัมพาต และการทราบถึงอาการเบื้องต้นเพื่อการส่งผู้ป่วยเข้ารับการรักษาได้ทันเวลา
จะยิ่งมีโอกาสสูงมากในการเยียวยาอาการให้ดีขึ้น เช่น
การให้ยาละลายลิ่มเลือดในภาวะเส้นเลือดในสมองตีบ และการดูแลที่เหมาะสมในผู้ป่วยที่มีเส้นเลือดในสมองแตก
จะช่วยลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน ตลอดจนการลดอัตราการเสียชีวิตได้ .-สำนักข่าวไทย