กรุงเทพฯ 19 พ.ค.-นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ชี้การปฏิรูปตำรวจ ต้องแก้ไขที่ระบบมากกว่าร่างกฎหมาย ระบุการแก้ไขกฎหมายให้ประชาชนแจ้งความได้ทุกสถานีตำรวจ เป็นดาบสองคม เหตุอำนาจทับซ้อนกัน แนะควรแก้ไขปัญหาโครงสร้างตำรวจให้เล็กลง และให้ประชาชนประเมินผลงานตำรวจ
นายยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เปิดเผยกับสำนักข่าวไทยถึงการปฏิรูปตำรวจที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ว่า เรื่องการปฏิรูปตำรวจ มักเกิดปัญหาในภาคปฏิบัติมากกว่า โดยเฉพาะกลไกรัฐ ระบบราชการ กระบวนการทำงาน วัฒนธรรมองค์กร ความพึงพอใจในการบริการประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขที่ตัวระบบมากกว่าการร่างกฎหมาย หรือออกมาตรการต่าง ๆ เพราะไม่ได้เป็นเรื่องที่จะแก้ได้อย่างจริงจัง สุดท้ายแม้จะมีมาตรการออกมาหรือบทบัญญัติออกมา บทบัญญัติเหล่านั้น ไม่สามารถที่จะปฏิบัติได้ กลไกของตำรวจก็ยังอยู่ในโครงสร้างและวัฒนธรรมแบบเดิม ซึ่งในประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติเรื่องเขตอำนาจการพิจารณาคดีที่มีหลักคิดและเหตุผลที่ต้องการจำกัดอำนาจเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเป็นไปตามหลักนิติธรรมที่ไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจละเมิดสิทธิของประชาชน ดังนั้นการที่กำหนดว่าเหตุใดเกิดในท้องที่ใด จะต้องแจ้งความท้องที่นั้น และพนักงานสอบสวนมีอำนาจในขอบเขตนั้น ๆ ถือว่าเป็นการจำกัดการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐไว้ให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม
“หากคณะกรรมการฯ จะแก้ไขกฎหมาย โดยกำหนดให้แจ้งความได้ทุกสถานีตำรวจ จะต้องพิจารณาให้ดี เพราะเป็นดาบสองคม แม้จะช่วยเรื่องความสะดวกของประชาชน แต่เมื่อมองอีกด้าน จะทำให้เรื่องกระบวนการจำกัดอำนาจหน้าที่รัฐไม่สามารถเป็นไปได้ตามหลักที่ควรจะเป็น และสุดท้ายจะเกิดการใช้อำนาจแบบดุลยพินิจ และอาจเกิดการก้าวก่ายการทำงานกันได้ เพราะวันนี้ แม้กระทั่งตำรวจท้องที่ ตำรวจในส่วนกลาง หลายครั้งก็มีอำนาจทับซ้อนกัน และผลของการทำงานก็ออกมาคนละทิศทาง ดังนั้นจึงไม่เชื่อว่าปัญหาต่าง ๆ จะแก้ไขได้เพียงแค่ใช้กฎหมายเท่านั้น หรือการปลดล็อกโดยการใช้คำสั่งพิเศษ” นายยุทธพร กล่าว
ส่วนกรณีที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ กรรมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ควรแยกการทำงานของหน่วยปราบปรามกับพนักงานสอบสวนออกจากกันนั้น นายยุทธพร กล่าวว่า เรื่องพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายอาญา ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าพนักงานสอบสวนต้องเป็นปลัดอำเภอหรือฝ่ายปกครอง เพียงแต่มีข้อตกลงระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกรมตำรวจในขณะนั้นเรื่องการแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ ทำให้พนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจสามารถเข้ามาทำงานได้ด้วย จึงทำให้เกิดฝ่ายสอบสวนขึ้นมาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งที่ความเป็นจริง กระบวนการสืบสวนและสอบสวนควรแยกออกจากกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะมีหน้าที่สืบสวนจับกุม ขณะที่การสอบสวน ควรเป็นหน้าที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือพนักงานอัยการ ซึ่งจะทำให้ถ่วงดุลอำนาจได้
นายยุทธพร กล่าวอีกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีภารกิจที่กว้างขวาง และหลายภารกิจก็คาบเกี่ยวกับภารกิจของฝ่ายข้าราชการพลเรือน เช่น เรื่องการตรวจคนเข้าเมือง การจราจร ตำรวจเฉพาะทาง เช่น ตำรวจรถไฟ เป็นต้น ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่าไม่ใช่สายงานหลัก และเมื่อภารกิจปะปนกัน ทำให้ตำรวจไม่ได้มุ่งเน้นการทำงานที่เป็นสายหลักของตนเองอย่างชัดเจน และหลายครั้ง หน่วยงานเหล่านี้กลายเป็นพื้นที่ของการกินตำแหน่งต่าง ๆ ซึ่งง่ายกว่าการขึ้นตำแหน่งในหน่วยงานหลัก
ส่วนประเด็นการขึ้นเงินเดือนของตำรวจนั้น นายยุทธพร กล่าวว่า ไม่ใช่ตัวแปรผกผันของการคอร์รัปชั่น เพราะไม่ได้ทำให้การคอร์รัปชั่นหมดไป ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่ปัญหาในเชิงบุคคล เพราะโครงสร้างเป็นตัวกำกับให้บุคคลแสดงออกซึ่งพฤติกรรม โดยโครงสร้างที่ทำให้เกิดการคอร์รัปชั่นมีอยู่ 3 ส่วน ได้แก่ 1.รัฐรวมศูนย์ของระบบราชการไทย ซึ่งทำให้เกิดกระบวนการวิ่งเต้น 2.การมีวัฒนธรรมเชิงอุปถัมภ์ เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานรัฐทำงานที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ และ 3.กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่เป็นเพียงในเชิงปริมาณ ไม่ใช่เชิงคุณภาพ
“การแก้ปัญหาตำรวจ ต้องทำให้โครงสร้างตำรวจเล็กลง โดยถ่ายเทภารกิจไปยังหน่วยงานอื่น หรือไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี การมีระบบธรรมาภิบาลในการแต่งตั้งโยกย้าย เพื่อป้องกันการซื้อขายตำแหน่ง มีการชี้วัดที่ชัดเจน ลดการใช้ดุลยพินิจของผู้บังคับบัญชา สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายมีความเป็นธรรม นอกจากนี้ ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการประเมินผลงานตำรวจ ซึ่งต้องเป็นประชาชนจริง ๆ ไม่ใช่แค่บางกลุ่มที่มีเส้นสาย มีความสัมพันธ์อันดี” นายยุทธพร กล่าว.-สำนักข่าวไทย