ชี้การปฏิรูปตำรวจ ต้องแก้ไขที่ระบบมากกว่าร่างกฎหมาย

กรุงเทพฯ 19 พ.ค.-นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ชี้การปฏิรูปตำรวจ ต้องแก้ไขที่ระบบมากกว่าร่างกฎหมาย ระบุการแก้ไขกฎหมายให้ประชาชนแจ้งความได้ทุกสถานีตำรวจ เป็นดาบสองคม เหตุอำนาจทับซ้อนกัน แนะควรแก้ไขปัญหาโครงสร้างตำรวจให้เล็กลง และให้ประชาชนประเมินผลงานตำรวจ


นายยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เปิดเผยกับสำนักข่าวไทยถึงการปฏิรูปตำรวจที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ว่า เรื่องการปฏิรูปตำรวจ มักเกิดปัญหาในภาคปฏิบัติมากกว่า โดยเฉพาะกลไกรัฐ ระบบราชการ กระบวนการทำงาน วัฒนธรรมองค์กร ความพึงพอใจในการบริการประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขที่ตัวระบบมากกว่าการร่างกฎหมาย หรือออกมาตรการต่าง ๆ เพราะไม่ได้เป็นเรื่องที่จะแก้ได้อย่างจริงจัง สุดท้ายแม้จะมีมาตรการออกมาหรือบทบัญญัติออกมา บทบัญญัติเหล่านั้น ไม่สามารถที่จะปฏิบัติได้ กลไกของตำรวจก็ยังอยู่ในโครงสร้างและวัฒนธรรมแบบเดิม ซึ่งในประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติเรื่องเขตอำนาจการพิจารณาคดีที่มีหลักคิดและเหตุผลที่ต้องการจำกัดอำนาจเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเป็นไปตามหลักนิติธรรมที่ไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจละเมิดสิทธิของประชาชน ดังนั้นการที่กำหนดว่าเหตุใดเกิดในท้องที่ใด จะต้องแจ้งความท้องที่นั้น และพนักงานสอบสวนมีอำนาจในขอบเขตนั้น ๆ ถือว่าเป็นการจำกัดการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐไว้ให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม

“หากคณะกรรมการฯ จะแก้ไขกฎหมาย โดยกำหนดให้แจ้งความได้ทุกสถานีตำรวจ จะต้องพิจารณาให้ดี เพราะเป็นดาบสองคม แม้จะช่วยเรื่องความสะดวกของประชาชน แต่เมื่อมองอีกด้าน จะทำให้เรื่องกระบวนการจำกัดอำนาจหน้าที่รัฐไม่สามารถเป็นไปได้ตามหลักที่ควรจะเป็น และสุดท้ายจะเกิดการใช้อำนาจแบบดุลยพินิจ และอาจเกิดการก้าวก่ายการทำงานกันได้ เพราะวันนี้ แม้กระทั่งตำรวจท้องที่ ตำรวจในส่วนกลาง หลายครั้งก็มีอำนาจทับซ้อนกัน และผลของการทำงานก็ออกมาคนละทิศทาง ดังนั้นจึงไม่เชื่อว่าปัญหาต่าง ๆ จะแก้ไขได้เพียงแค่ใช้กฎหมายเท่านั้น หรือการปลดล็อกโดยการใช้คำสั่งพิเศษ” นายยุทธพร กล่าว


ส่วนกรณีที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ กรรมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ควรแยกการทำงานของหน่วยปราบปรามกับพนักงานสอบสวนออกจากกันนั้น นายยุทธพร กล่าวว่า เรื่องพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายอาญา ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าพนักงานสอบสวนต้องเป็นปลัดอำเภอหรือฝ่ายปกครอง เพียงแต่มีข้อตกลงระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกรมตำรวจในขณะนั้นเรื่องการแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ ทำให้พนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจสามารถเข้ามาทำงานได้ด้วย จึงทำให้เกิดฝ่ายสอบสวนขึ้นมาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งที่ความเป็นจริง กระบวนการสืบสวนและสอบสวนควรแยกออกจากกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะมีหน้าที่สืบสวนจับกุม ขณะที่การสอบสวน ควรเป็นหน้าที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือพนักงานอัยการ ซึ่งจะทำให้ถ่วงดุลอำนาจได้

นายยุทธพร กล่าวอีกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีภารกิจที่กว้างขวาง และหลายภารกิจก็คาบเกี่ยวกับภารกิจของฝ่ายข้าราชการพลเรือน เช่น เรื่องการตรวจคนเข้าเมือง การจราจร ตำรวจเฉพาะทาง เช่น ตำรวจรถไฟ เป็นต้น ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่าไม่ใช่สายงานหลัก และเมื่อภารกิจปะปนกัน ทำให้ตำรวจไม่ได้มุ่งเน้นการทำงานที่เป็นสายหลักของตนเองอย่างชัดเจน และหลายครั้ง หน่วยงานเหล่านี้กลายเป็นพื้นที่ของการกินตำแหน่งต่าง ๆ ซึ่งง่ายกว่าการขึ้นตำแหน่งในหน่วยงานหลัก

ส่วนประเด็นการขึ้นเงินเดือนของตำรวจนั้น นายยุทธพร กล่าวว่า ไม่ใช่ตัวแปรผกผันของการคอร์รัปชั่น เพราะไม่ได้ทำให้การคอร์รัปชั่นหมดไป ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่ปัญหาในเชิงบุคคล เพราะโครงสร้างเป็นตัวกำกับให้บุคคลแสดงออกซึ่งพฤติกรรม โดยโครงสร้างที่ทำให้เกิดการคอร์รัปชั่นมีอยู่ 3 ส่วน ได้แก่ 1.รัฐรวมศูนย์ของระบบราชการไทย ซึ่งทำให้เกิดกระบวนการวิ่งเต้น 2.การมีวัฒนธรรมเชิงอุปถัมภ์ เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานรัฐทำงานที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ และ 3.กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่เป็นเพียงในเชิงปริมาณ ไม่ใช่เชิงคุณภาพ


“การแก้ปัญหาตำรวจ ต้องทำให้โครงสร้างตำรวจเล็กลง โดยถ่ายเทภารกิจไปยังหน่วยงานอื่น หรือไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี การมีระบบธรรมาภิบาลในการแต่งตั้งโยกย้าย เพื่อป้องกันการซื้อขายตำแหน่ง มีการชี้วัดที่ชัดเจน ลดการใช้ดุลยพินิจของผู้บังคับบัญชา สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายมีความเป็นธรรม นอกจากนี้ ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการประเมินผลงานตำรวจ ซึ่งต้องเป็นประชาชนจริง ๆ ไม่ใช่แค่บางกลุ่มที่มีเส้นสาย มีความสัมพันธ์อันดี” นายยุทธพร กล่าว.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]