เปิดงาน SME Transform หวังยกระดับ SME สู่ยุค 4.0

กรุงเทพฯ 18 พ.ค. – “สมคิด” เปิดงาน SME Transform  เพื่อผลักดันและยกระดับ SME ให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น ก่อนเข้าสู่ยุค 4.0  


นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ เรื่อง“ประชารัฐร่วมใจ เชื่อม SME ไทยสู่สากล” ว่า ปัจจุบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs มีจำนวนกว่า 3 ล้านกิจการ คิดเป็นร้อยละ 99.7 ของจำนวนวิสาหกิจทั่วประเทศ ก่อให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 10 ล้านคน SMEs จึงถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นห่วงโซ่การผลิตและเป็นรากฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่แท้จริง รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการส่งเสริม SMEs ได้กำหนดให้การพัฒนา SMEs เป็นวาระแห่งชาติ ผ่านการขับเคลื่อนตามแนวคิด “ปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง “ผ่านกลไก “ประชารัฐ” โดยมีกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นแกนหลักในการประสานและบูรณาการงานส่งเสริม SMEs ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชน และภาคการศึกษาที่เกี่ยวข้องในรูปแบบประชารัฐ เพื่อให้การส่งเสริม SMEs เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตามแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปสู่ “ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”

นายสมคิดระบุว่า ภาคอุตสาหกรรม SMEs จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงและปรับตัวเพื่อความอยู่รอด และสร้างสิ่งใหม่ๆ พร้อมทั้งเข้าถึงและเข้าใจ Digital Technology เพื่อให้ SMEs ก้าวสู่ยุค Industry 4.0 สิ่งจำเป็นคือเราจะต้องพัฒนาตัวเองให้เติบโตและสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้เกิดขึ้นในภาคอุตสาหกรรม SME ตั้งแต่ระดับชุมชน/    ฐานราก วิสาหกิจชุมชน ต้องปรับเปลี่ยน ต้องปฏิรูปหรือ Transform ตัวเอง โดยกระทรวงอุตสาหกรรม      ได้ร่วมกับ สสว. และ SME Development Bank และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงออกชุดมาตรการใหม่ที่ได้เริ่มนำร่องแล้ว 9 มาตรการหลัก ที่ให้ความสำคัญกับการวางแนวทางมาตรการส่งเสริมและปฏิรูป SME อย่างเป็นรูปธรรม มีทั้งมาตรการเพื่อการเข้าถึงการส่งเสริม ควบคู่ไปกับมาตรการเพื่อการเข้าถึงแหล่งทุน รวมถึงการ สร้างการรับรู้แนวทางและโอกาสการปรับเปลี่ยนธุรกิจพร้อมนำเสนอกลไกการยกระดับ SMEs ทุกกลุ่ม ทุกมิติ และทั่วประเทศ โดยมีมาตรการที่มีความครอบคลุมในทุกมิติตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value-Chain) และกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน


ในด้านมาตรการการเข้าถึงแหล่งทุนสำหรับคนตัวเล็ก รัฐบาลได้สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างสะดวกและรวดเร็วขึ้น โดยจัดให้มีสินเชื่อ 2 แบบคือ (1) สินเชื่อเถ้าแก่ 4.0    (คนตัวเล็ก) วงเงินรวม 8,000 ล้านบาท ผู้กู้ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้าประกัน สามารถกู้ได้ 1 ล้านบาท ดอกเบี้ย   1 % ระยะเวลา 7 ปี ปลอดเงินต้น 3 ปีแรก และ (2) สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท โดยกู้ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน วงเงินกู้ 5 ล้านบาท ดอกเบี้ย 3% ระยะ 7 ปี โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดให้มีการผ่านบริการเคลื่อนที่หรือ “ม้าเร็วเติมทุน”เพื่อให้บริการแก่ SMEs/วิสาหกิจชุมชนในพื้นที่กว่า 1,000 จุดทั่วประเทศให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว  

ในด้านความร่วมมือกับต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีความร่วมมือกับรัฐบาลประเทศญี่ปุ่นผ่านทางกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) ร่วมกันดำเนินงานโครงการเพื่อยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 ภายใต้โครงการ Connected Industry ดังนี้ โครงการ 3-Stage Rocket Approach ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าในการใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติได้อย่างเหมาะสม โครงการ Open Innovation Columbus เป็นโครงการที่ประเทศไทยร่วมกับญี่ปุ่น เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลาง การแลกเปลี่ยนนวัตกรรมแบบเปิด หรือ Open Innovation โครงการ Flex Campus ที่ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรภาคอุตสาหกรรมที่เสริมจากการศึกษาในระบบปกติที่อาจไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรม

ขณะที่การเชื่อมโยงกับประชาคมโลก หรือมาตรการด้านการตลาด กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ SMEs ไทยให้สามารถดำเนินธุรกิจผ่านช่องทาง E-Commerce และการพัฒนาบุคลากรเข้าสู่เศรษฐกิจยุคดิจิทัล ซึ่งทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้มีความร่วมมือกับกลุ่มบริษัทอาลีบาบา (Alibaba Group) โดยนาย แจ็ค หม่า (Mr.Jack Ma) ประธานกรรมการบริหาร ที่ได้มีการลงนามความร่วมมือด้าน Smart Digital Hub and Digital Transformation Strategic Partnership ไปเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา โดยความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ของไทยสามารถเข้าถึงตลาดผู้บริโภคจีนที่ในปัจจุบัน มีผู้ซื้อกว่า 500 ล้านคน รวมไปถึงการเข้าถึงตลาดโลกที่มีมูลค่ามหาศาล ช่วยให้เกิดการดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในเมืองรองและการท่องเที่ยวชุมชนมากขึ้น เป็นการกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจที่กระจายตัว ในขณะที่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมจะมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้นจากเทคโนโลยี ดิจิทัลต่างๆ เป็นการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยจะสามารถก้าวเข้าสู่การแข่งขันในระดับภูมิภาคและระดับโลกได้อย่างยั่งยืน


“รัฐบาลมุ่งหวังที่จะผลักดัน SMEs ของไทย ให้ก้าวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบันด้วยการบริหารจัดการการใช้เทคโนโลยี ภูมิปัญญา และการผนึกกำลังกัน ทำให้ SMEs สามารถเติบโตได้ตามพัฒนาการของระบบเศรษฐกิจ สามารถเพิ่มศักยภาพ และสามารถปรับตัวได้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลง ยกระดับสู่ Smart Enterprise เปลี่ยนจาก “ทำมากได้น้อย” (More for Less) เป็น “ทำน้อยได้มาก” และรัฐบาลหวังที่จะเห็น SME ของไทย เป็นส่วนสำคัญในการยกระดับศักยภาพของระบบเศรษฐกิจของประเทศ ดังเช่นประเทศ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น หรือ ไต้หวัน ซึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายที่ทำให้ “GDP SME” เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันร้อยละ 36 เป็น ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2564 สำหรับการจัดงาน SME TRANSFORM #พร้อมเปลี่ยน ประชารัฐร่วมใจ เชื่อม SME ไทยสู่สากล ในวันนี้ นับเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลตามกรอบแนวทาง “ประเทศไทย 4.0” ซึ่งเป็นนโยบายหลักเพื่อขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวสู่ยุค 4.0           โดยสามารถแปลงนโยบายมาสู่การปฏิบัติและขับเคลื่อนได้อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน มีกลไกและมาตรการต่างๆ ที่จับต้องได้ และสามารถช่วยเหลือ SMEs ได้อย่างแท้จริง” นายสมคิด กล่าว  

ด้านนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานพันธมิตร ได้ดำเนินงานตามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ ผ่านมาตรการขับเคลื่อน SMEs ให้เข้าสู่ยุค 4.0 เพื่อพัฒนาด้านกลไกสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจ (Service Upgrading) ด้านการเสริมแกร่ง SMEs (Enablers) ด้านการเพิ่มขีดความสามารถและการปรับเปลี่ยนธุรกิจ (Capacity Upgrading and Transforming) และด้านการยกระดับเศรษฐกิจฐานชุมชน (Local economy) โดยมีการบริการในด้านต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์  ใหม่ ๆ ด้วยนวัตกรรมในเชิงสร้างสรรค์ (Creative Innovation) การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และพัฒนามาตรฐานต่าง ๆ ตลอดจนการรวมกลุ่มเป็น Cluster เป็นต้น 

โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม หรือ Industry Transformation Center (ITC) ที่เปรียบเสมือนข้อต่อกลางที่จะเข้ามาช่วย SMEs ให้สามารถปฏิรูปธุรกิจของตนเองผ่านกระบวนการ SME Transformation ทั้งผลิตภัณฑ์ (Product Transformation) กระบวนการผลิต (Process Transformation) และบุคลากร (People Transformation) ในส่วนมาตรการด้านการเงิน กลไกนี้จะเป็นการเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ SMEs ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุน การเพิ่มวงเงินสินเชื่อ การขยายกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการลดข้อจำกัด หลักเกณฑ์ หรือเงื่อนไขบางประการ เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ทุกกลุ่มทุกระดับ สามารถเข้าถึงแหล่งทุนตามศักยภาพ สามารถฟื้นฟู ปรับกิจการ ขยายธุรกิจ รวมทั้งเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการ SMEs อย่างครอบคลุมและทั่วถึง

สำหรับการจัดงาน SME Transform #พร้อมเปลี่ยน ประชารัฐร่วมใจ เชื่อม SME ไทยสู่สากล ได้จัดขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลได้สร้างโอกาสต่าง ๆ ไว้รองรับ SMEs และวิสาหกิจฐานรากของประเทศในการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน โดยการรวมพลังเครือข่ายประชารัฐในการขับเคลื่อนและยกระดับ SMEs สู่ยุค 4.0 รวมถึงเป็นเวทีให้ SMEs ได้สัมผัสและเรียนรู้ผลสำเร็จนโยบายการส่งเสริม SMEs ตลอดจนการสร้างการรับรู้แนวทางและโอกาสการปรับเปลี่ยนธุรกิจพร้อมนำเสนอกลไก การยกระดับ SMEs ทุกกลุ่ม ทุกมิติ และทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ภายในงานยังมีโซนกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ประกอบด้วย (1) เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง พบกับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ชุมชนให้เกิดมูลค่าเพิ่ม นำสู่การยกระดับวิสาหกิจชุมชน สู่นักธุรกิจมืออาชีพ            (2) พลิกโอกาสสร้างธุรกิจ พบกับผลงานความสำเร็จของนักธุรกิจรุ่นใหม่ พร้อมบริการที่เสริมศักยภาพ           สู่การเป็น Startup (3) ปรับเปลี่ยนยกระดับธุรกิจ พร้อมคำแนะนำสำหรับ SME จาก Big Brother เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้ SME เกิดการเติบโต มั่นคง พร้อมขยายโอกาสสู่ตลาดโลกยุค 4.0 (4) SME ONE เชื่อมต่อทุกความต้องการธุรกิจ มาจุดเดียวครบทุกหน่วยงานที่ให้บริการปรึกษาแนะนำทางธุรกิจครบวงจรแก่ SME (5) การเงินเสริมแกร่ง เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย รวดเร็ว ด้วยแพ็กเกจสินเชื่อ SME จากทุกธนาคาร ในโปรโมชั่นสุดพิเศษ และ (6) ช้อปสินค้าดีมีคุณภาพ แหล่งรวมสินค้า SME คุณภาพดี ได้มาตรฐานในราคาโรงงาน นอกจากนี้ ผู้เข้าชมงานยังจะได้พบกับการสัมมนาที่จะมาเสริมความแกร่งทางธุรกิจ จากวิทยากรผู้มีประสบการณ์ตรง ทั้งจากธุรกิจชุมชน Startup SME โค้ช SME และ Big Brother ด้วย

กระทรวงอุตสาหกรรม จึงขอเชิญชวนประชาชนและผู้ที่สนใจมาร่วมเปิดมิติใหม่กับมาตรการขับเคลื่อนและยกระดับ SME ไทยยุค 4.0 ไปพร้อม ๆ กัน ในงาน SME Transform#พร้อมเปลี่ยน ประชารัฐร่วมใจ เชื่อม SME ไทยสู่สากล ในระหว่างวันที่ 18 – 20 พฤษภาคม 2561 นี้ ณ อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี. – สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ภราดร” ประกาศลาออก “รองปธ.สภาฯ”

รัฐสภา 19 มิ.ย.- “ภราดร” ประกาศลาออกจาก “รองประธานสภาฯ” รักษาหลักการเสียงข้างมาก คืนอำนาจให้สภาฯ เลือกใหม่ นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง และ สส.จังหวัดอ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ประกาศยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งรองประธานฯ โดยมีผลทันทีในวันนี้ หลังจากพรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์เมื่อค่ำวานนี้ว่ากรรมการบริหารพรรคมีมติให้พรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล และรัฐมนตรีของพรรคทุกคนได้ส่งใบลาออกต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีผลวันที่ 19 มิถุนายนนี้เช่นกัน นายภราดรให้เหตุผลว่า ตนได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้ด้วยเสียงส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น ในวันนี้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและพรรคภูมิใจไทยไม่ได้ร่วมอยู่ในรัฐบาลแล้ว จึงเห็นว่าควรคืนอำนาจให้สภาผู้แทนราษฎรได้มีโอกาสตัดสินใจเลือกรองประธานฯคนใหม่ด้วยมติเสียงข้างมาก ตามธรรมเนียมที่เคยถือปฏิบัติมา “ผมขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้ให้เกียรติเลือกผมมาปฏิบัติหน้าที่ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นประสบการณ์ในการทำงานที่มีคุณค่า และขอถือโอกาสนี้ขอบคุณทีมงานของรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สองทุกคนที่ได้ทุ่มเททำงานจนบรรลุภารกิจไปหลายประการ ซึ่งล้วนสร้างความก้าวหน้าให้กับสภาของประชาชน กราบขอบพระคุณท่านประธานและรองประธานสภาฯคนที่หนึ่ง ที่ได้ให้ความเมตตาผมอย่างยิ่งในการทำงาน” นายภราดรกล่าว พร้อมย้ำว่าจะฝากงานหลายอย่างที่ได้ดำเนินการไว้ โดยเฉพาะโครงการเปิดพื้นที่รัฐสภาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ เป็นพื้นที่ของประชาชนอย่างแท้จริง โครงการวันรัฐธรรมนูญ กิจกรรมสภาวาที การพัฒนาสถานีวิทยุโทรทัศน์รัฐสภาให้เป็นสถานีของประชาชน โดยเปิดโอกาสให้สถานศึกษาเข้ามามีส่วนร่วม และการต่อยอดโครงการยุวชนประชาธิปไตยที่สร้างเสริมศักยภาพเยาวชน ให้ผู้รับตำแหน่งคนต่อไปได้มาสานต่อ นอกจากนี้ นายภราดรยังยืนยันจะทำหน้าที่เป็นผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านอย่างเข้มแข็ง เคียงบ่าเคียงไหล่กับ ส.ส. ของพรรคภูมิใจไทยต่อไป.312 -สำนักข่าวไทย

นายกฯ โพสต์สำนวนก่อนลบทิ้ง เตรียมเข้าทำเนียบฯ

ทำเนียบ 19 มิ.ย.- นายกฯ โพสต์สำนวน “ผู้คน ไม่ได้แกล้งเศร้า แต่แกล้งโอเค” ก่อนลบทิ้ง ยกเลิกประชุมทีมคณะที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก เข้าทำเนียบ เมื่อเวลา 08.15 น. ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ช่วงเช้าวันนี้ (19 มิ.ย.) พบว่า มีการแชร์สตอรี่อินสตาแกรม เป็นสำนวนภาษาอังกฤษ ระบุว่า “People don’t fake depression.They fake being okay. Remember that. Be kind.” ซึ่งมีความหมายว่า “คนเราไม่ได้แกล้งเศร้า แต่แกล้งว่าตัวเองโอเคต่างหาก, จำไว้นะ จงมีเมตตา” พร้อมซาวด์ดนตรี Another love อย่างไรก็ตามในเวลา 08.54 น. นายกรัฐมนตรี ได้ลบโพสต์ดังกล่าว ออกจากสตอรี่อินสตราแกรม ทำให้ไม่มีข้อความปรากฏแล้ว ขณะเดียวกัน ยังรายงานอีกว่า วันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ยกเลิกภารกิจ […]

“กัญจนา” เชื่อ “วราวุธ’” ไม่หนุนการกระทำที่ไม่ดีต่อบ้านเมือง

กรุงเทพฯ 19 มิ.ย.- “หนูนา กัญจนา” ชี้พรรคชาติไทยพัฒนาแม้เป็นพรรคเล็ก แต่ศักดิ์ศรีรักบ้านเกิดเมืองนอนยิ่งใหญ่เสมอ เชื่อ “วราวุธ” ไม่หนุนการกระทำที่ไม่ดีต่อบ้านเมือง น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กกรณีคลิปเสียงสนทนาสองผู้นำไทย-กัมพูชา ว่า “ณ วันนี้ ดิฉันไม่ได้นิยามตัวเองเป็นนักการเมืองแล้ว ถอยออกมามานานแล้ว แต่ที่ดิฉันเป็นเสมอคือ เป็นคนไทยที่รักแผ่นดินเกิด “จุดยืนของดิฉันมั่นคงมาตลอดเหมือนพ่อ คือยึดมั่นต่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และเชื่อว่าน้องชายดิฉัน (นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ก็เช่นกัน” น.ส.กัญจนา ยังระบุอีกว่า “แม้ที่ผ่านมา เขาอาจจะพูดอะไรพลาดบ้าง นั่นก็เป็นบทเรียนในชีวิตให้เขาต้องจดจำ วันนี้ดิฉันแม้ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาแล้ว แต่ดิฉันยังเป็นสมาชิกพรรคอยู่ แม้พรรคชาติไทยพัฒนาในวันนี้ จะเป็นพรรคขนาดเล็ก แต่ศักดิ์ศรี และความรักบ้านเกิดเมืองนอนต้องยิ่งใหญ่เสมอ” “ดิฉันเชื่อว่า พรรค และหัวหน้าพรรคจะมีการตัดสินใจที่ชัดเจนในการไม่สนับสนุนการกระทำใดที่ไม่ดีต่อชาติบ้านเมือง ทำในสิ่งที่ควรทำ” -สำนักข่าวไทย

นายกฯ รีโพสต์สตอรี่ไอจี หลัง “ภูมิใจไทย” ถอนตัว

19 มิ.ย.- นายกฯ รีโพสต์สตอรี่ไอจี กลางดึก หลัง “ภูมิใจไทย” ประกาศถอนตัวพรรคร่วมรัฐบาล ความเคลื่อนไหวช่วงกลางดึกในเวลา 21.08 น. ของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายหลังพรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล โดยจะยื่นใบลาออกมีผลวันนี้ (19 มิ.ย.) พร้อมเรียกร้องให้นายกฯ รับผิดชอบทำประเทศเสียเกียรติภูมิ นั้น พบว่าสตอรี่อินสตราแกรมของ นายกรัฐมนตรี ยังคงมีการเคลื่อนไหวผ่านการรีโพสต์สตอรี่ ที่มีคนโพสต์และแท็ก โดยเป็นภาพระหว่างสื่อมวลชนตามสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรี เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา และเป็นโพสต์รูปภาพของนายกรัฐมนตรี พร้อมใส่เพลง “ทำด้วยหัวใจ” โดยไม่มีการใส่แคปชั่น หรือระบุข้อความใดใดในภาพ รวมถึงคลิปที่นายกรัฐมนตรีได้มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน ด้วย -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

รัฐบาลออกแถลงการณ์โต้คลิปเสียง “ฮุนเซน“ ยันมีเจตนาบริสุทธิ์ จริงใจ

ทำเนียบ 19 มิ.ย.-รัฐบาลออกแถลงการณ์กรณีสถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา โต้คลิปเสียง “ฮุนเซน” ยันมีเจตนาบริสุทธิ์ จริงใจ แต่ได้รับผลตรงข้าม ชี้ 26 ปี JBC ไร้ผล เป็นเหตุตัดสินใจใช้การทูตโทรหาผู้นำกัมพูชา ย้ำแก้ปัญหายึดสันติวิธี รักษาอธิปไตยไทย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์เมื่อเวลา 13.30 น. วันนี้ (19 มิ.ย.) “กรณีสถานการณ์ความสัมพันธ์ ไทย-กัมพูชา” โดยมีเนื้อหาว่า “พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขออภัยต่อพี่น้องประชาชนด้วยความจริงใจ จากกรณีคลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์กับผู้นำกัมพูชาที่เกิดขึ้น ทุกการดำเนินการเป็นไปภายใต้เจตจำนงที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติ รักษาผลประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนไทย ทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและพักอาศัยอยู่ในกัมพูชา ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ดังกล่าว ไม่นึกว่าจะเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ น่าเสียใจอย่างยิ่งที่ความจริงใจของเรา กลับมีผลตอบรับตรงกันข้าม รัฐบาลไทยยึดหลักสันติวิธี ใช้กลไกทวิภาคีเรื่องเขตแดนที่มีอยู่ โดยเฉพาะการทำงานของ JBC ที่รัฐบาลไทยและกัมพูชาร่วมมือกันมาตลอด 26 ปี เพื่อคลี่คลายปัญหา แต่ในระหว่างนั้นได้ปรากฏเหตุการณ์สื่อสารโต้ตอบที่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น หากรัฐบาลนิ่งเฉย และไม่แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ย่อมเกิดความเสี่ยงที่จะบานปลายไปสู่ความรุนแรงและความสูญเสียต่อชีวิตและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนชาวไทยได้ นายกรัฐมนตรีจึงตัดสินใจใช้วิธีทางการทูต ผ่านการโทรศัพท์พูดคุยโดยตรงกับผู้นำกัมพูชา […]

กต. ทำหนังสือประท้วงกัมพูชากรณีปล่อยคลิปเสียงหลุด

กรุงเทพฯ 19 มิ.ย. – กระทรวงการต่างประเทศ ส่งหนังสือประท้วงกรณีคลิปเสียงบทสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย-ฮุน เซน ย้ำผิดมารยาทและผิดหลักปฏิบัติสากล และทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยถึงพัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา หลังจากที่ได้มีการเปิดเผยบทสนทนาส่วนตัวระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฯ ฮุนเซน ประธานวุฒิสภา ของกัมพูชา ต่อสาธารณชนวานนี้ (18 มิ.ย.68) ว่า การกระทำดังกล่าวขัดต่อจรรยาบรรณ และมารยาทพื้นฐานของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐที่ไม่อาจยอมรับได้ ถือเป็นการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และความพยายามที่จะใช้กลไกทวิภาคีในการแก้ไขปัญหาของทั้งสองฝ่ายตามแนวปฏิบัติสากล และการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี พร้อมเน้นย้ำว่า ไม่ว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นใคร ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคือหัวหน้ารัฐบาลของประเทศ ที่ควรได้รับการเคารพ และให้เกียรติ ตามแนวปฏิบัติสากลในการเจริญสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศจึงได้ออกหนังสือประท้วงกรณีดังกล่าว ผ่านช่องทางทางการทูต โดยได้เชิญให้เอกอัครราชทูตกัมพูชา ประจำประเทศไทย มารับหนังสือดังกล่าว เพื่อแจ้งว่าการกระทำข้างต้นของทางกัมพูชาเป็นการกระทำที่ไม่สามารถยอมรับได้ ถือว่าผิดมารยาทพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ เป็นการทำลายความไว้ใจระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างร้ายแรง ซึ่งการออกหนังสือดังกล่าวเป็นไปตามแนวปฏิบัติทางการทูต มีความรอบคอบ โปร่งใส มีวุฒิภาวะ ใช้สันติวิธี และดำเนินการอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและการดูแลคนไทยที่อยู่ในกัมพูชาแล้ว พร้อมยืนยันว่าการกระทำดังกล่าว เป็นการดำเนินการทางการทูต […]

นายกฯ แถลงขอโทษคนไทยปมคลิปเสียงหลุดคุย “ฮุน เซน”

กรุงเทพฯ 19 มิ.ย. – นายกฯ แถลงขอโทษคนไทยทุกคน กรณีคลิปเสียงหลุดคุย “ฮุน เซน” เป็นเรื่องไม่น่าเกิดขึ้น ได้คุย มทภ.2 และทำความเข้าใจกับกองทัพ โดยได้อธิบายถึงเจตนาที่แท้จริง ยอมรับไม่ทราบจริงๆ ว่ามีการอัดคลิปเผยแพร่ ย้ำวันนี้ไทยต้องร่วมมือผนึกกำลัง ปกป้องอธิปไตย ทุกภาคส่วนสรุปว่า “เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าพบ เพื่อรายงานผลการประชุมของศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) รวมถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ภายหลังเกิดกรณีคลิปเสียงการโทรศัพท์เจรจาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ว่าได้เชิญหน่วยงานด้านความมั่นคงมาพูดคุยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ก่อนอื่นต้องขออภัยพี่น้องประชาชนและคนไทยทุกคนในเรื่องกรณีที่มีคลิปเสียงหลุดออกมาระหว่างที่ตนคุยกับผู้นำกัมพูชา ความจริงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ต้องขออภัยพี่น้องประชาชนที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจ ได้มีโอกาสคุยกับเจ้าหน้าที่และกองทัพ อธิบายถึงเหตุผลว่าเป็นเพียงแท็กติกของการสื่อสารที่จะเจรจาต่อไปว่าเราจะต้องแสดงความเข้าใจก่อน เพื่อจะคุยถึงต่อไป เป็นการต่อรองเพื่อให้การปะทะนั้นหยุดลง ด้วยความตั้งใจที่แท้จริงว่าต้องการจะให้สถานการณ์สงบสุขเท่านั้นเอง และไม่ทราบจริงๆ ว่าจะมีการอัดคลิปและเผยแพร่เช่นนี้ ก็ได้ทำความเข้าใจกับทางกองทัพเรียบร้อยแล้ว และรับฟังว่าวันนี้เราต้องร่วมมือกันผนึกกำลังเอาไว้ คนไทยทุกคนต้องผนึกกำลังเอาไว้ วันนี้ทุกภาคส่วนได้สรุปว่ากรณีดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่ภัยคุกคามเล็กๆ ของประชาชนหรือของอะไร ที่จะพูดถึงว่ารัฐบาลหรือกองทัพต้องมาสู้กัน วันนี้เราไม่มีเวลาที่จะมาทะเลาะกันเองแบบนี้ เราต้องปกปกอธิปไตย ยินดีสนับสนุนกองทัพทุกรูปแบบ และวันนี้การที่เราจะทำอะไรหรือตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เราต้องคำนึงถึงประชาชนคนไทยที่อยู่ในกัมพูชาด้วย รวมทั้งประชาชนตรงชายแดน […]

ผบ.ทบ. แสดงจุดยืนยึดมั่น ปชต. ย้ำเวลานี้ “คนไทยต้องสามัคคี”

กองทัพบก 19 มิ.ย. – ผบ.ทบ. แสดงจุดยืนยึดมั่นระบอบประชาธิปไตย พร้อมทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ ย้ำสถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้ “คนไทยต้องสามัคคี” พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันที่ปรากฏข้อมูลหรือการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ที่หลากหลายและส่งผลกระทบต่อสังคมเป็นบริเวณกว้าง พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ในประเทศที่เกิดขึ้นโดยขอให้คนไทยได้เชื่อมั่นในกองทัพบก ที่มีจุดยืนในการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพร้อมทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างสุดความสามารถ ภายใต้กลไกที่มีอยู่ ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารบกได้เน้นย้ำว่า หากพิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในห้วงเวลานี้คือ “คนไทยต้องสามัคคี” ร่วมกันปกป้องอธิปไตยจากผู้ไม่หวังดี โดยยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ-313 .-สำนักข่าวไทย