เปิดงาน SME Transform หวังยกระดับ SME สู่ยุค 4.0

กรุงเทพฯ 18 พ.ค. – “สมคิด” เปิดงาน SME Transform  เพื่อผลักดันและยกระดับ SME ให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น ก่อนเข้าสู่ยุค 4.0  


นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ เรื่อง“ประชารัฐร่วมใจ เชื่อม SME ไทยสู่สากล” ว่า ปัจจุบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs มีจำนวนกว่า 3 ล้านกิจการ คิดเป็นร้อยละ 99.7 ของจำนวนวิสาหกิจทั่วประเทศ ก่อให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 10 ล้านคน SMEs จึงถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นห่วงโซ่การผลิตและเป็นรากฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่แท้จริง รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการส่งเสริม SMEs ได้กำหนดให้การพัฒนา SMEs เป็นวาระแห่งชาติ ผ่านการขับเคลื่อนตามแนวคิด “ปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง “ผ่านกลไก “ประชารัฐ” โดยมีกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นแกนหลักในการประสานและบูรณาการงานส่งเสริม SMEs ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชน และภาคการศึกษาที่เกี่ยวข้องในรูปแบบประชารัฐ เพื่อให้การส่งเสริม SMEs เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตามแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปสู่ “ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”

นายสมคิดระบุว่า ภาคอุตสาหกรรม SMEs จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงและปรับตัวเพื่อความอยู่รอด และสร้างสิ่งใหม่ๆ พร้อมทั้งเข้าถึงและเข้าใจ Digital Technology เพื่อให้ SMEs ก้าวสู่ยุค Industry 4.0 สิ่งจำเป็นคือเราจะต้องพัฒนาตัวเองให้เติบโตและสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้เกิดขึ้นในภาคอุตสาหกรรม SME ตั้งแต่ระดับชุมชน/    ฐานราก วิสาหกิจชุมชน ต้องปรับเปลี่ยน ต้องปฏิรูปหรือ Transform ตัวเอง โดยกระทรวงอุตสาหกรรม      ได้ร่วมกับ สสว. และ SME Development Bank และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงออกชุดมาตรการใหม่ที่ได้เริ่มนำร่องแล้ว 9 มาตรการหลัก ที่ให้ความสำคัญกับการวางแนวทางมาตรการส่งเสริมและปฏิรูป SME อย่างเป็นรูปธรรม มีทั้งมาตรการเพื่อการเข้าถึงการส่งเสริม ควบคู่ไปกับมาตรการเพื่อการเข้าถึงแหล่งทุน รวมถึงการ สร้างการรับรู้แนวทางและโอกาสการปรับเปลี่ยนธุรกิจพร้อมนำเสนอกลไกการยกระดับ SMEs ทุกกลุ่ม ทุกมิติ และทั่วประเทศ โดยมีมาตรการที่มีความครอบคลุมในทุกมิติตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value-Chain) และกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน


ในด้านมาตรการการเข้าถึงแหล่งทุนสำหรับคนตัวเล็ก รัฐบาลได้สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างสะดวกและรวดเร็วขึ้น โดยจัดให้มีสินเชื่อ 2 แบบคือ (1) สินเชื่อเถ้าแก่ 4.0    (คนตัวเล็ก) วงเงินรวม 8,000 ล้านบาท ผู้กู้ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้าประกัน สามารถกู้ได้ 1 ล้านบาท ดอกเบี้ย   1 % ระยะเวลา 7 ปี ปลอดเงินต้น 3 ปีแรก และ (2) สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท โดยกู้ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน วงเงินกู้ 5 ล้านบาท ดอกเบี้ย 3% ระยะ 7 ปี โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดให้มีการผ่านบริการเคลื่อนที่หรือ “ม้าเร็วเติมทุน”เพื่อให้บริการแก่ SMEs/วิสาหกิจชุมชนในพื้นที่กว่า 1,000 จุดทั่วประเทศให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว  

ในด้านความร่วมมือกับต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีความร่วมมือกับรัฐบาลประเทศญี่ปุ่นผ่านทางกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) ร่วมกันดำเนินงานโครงการเพื่อยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 ภายใต้โครงการ Connected Industry ดังนี้ โครงการ 3-Stage Rocket Approach ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าในการใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติได้อย่างเหมาะสม โครงการ Open Innovation Columbus เป็นโครงการที่ประเทศไทยร่วมกับญี่ปุ่น เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลาง การแลกเปลี่ยนนวัตกรรมแบบเปิด หรือ Open Innovation โครงการ Flex Campus ที่ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรภาคอุตสาหกรรมที่เสริมจากการศึกษาในระบบปกติที่อาจไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรม

ขณะที่การเชื่อมโยงกับประชาคมโลก หรือมาตรการด้านการตลาด กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ SMEs ไทยให้สามารถดำเนินธุรกิจผ่านช่องทาง E-Commerce และการพัฒนาบุคลากรเข้าสู่เศรษฐกิจยุคดิจิทัล ซึ่งทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้มีความร่วมมือกับกลุ่มบริษัทอาลีบาบา (Alibaba Group) โดยนาย แจ็ค หม่า (Mr.Jack Ma) ประธานกรรมการบริหาร ที่ได้มีการลงนามความร่วมมือด้าน Smart Digital Hub and Digital Transformation Strategic Partnership ไปเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา โดยความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ของไทยสามารถเข้าถึงตลาดผู้บริโภคจีนที่ในปัจจุบัน มีผู้ซื้อกว่า 500 ล้านคน รวมไปถึงการเข้าถึงตลาดโลกที่มีมูลค่ามหาศาล ช่วยให้เกิดการดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในเมืองรองและการท่องเที่ยวชุมชนมากขึ้น เป็นการกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจที่กระจายตัว ในขณะที่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมจะมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้นจากเทคโนโลยี ดิจิทัลต่างๆ เป็นการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยจะสามารถก้าวเข้าสู่การแข่งขันในระดับภูมิภาคและระดับโลกได้อย่างยั่งยืน


“รัฐบาลมุ่งหวังที่จะผลักดัน SMEs ของไทย ให้ก้าวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบันด้วยการบริหารจัดการการใช้เทคโนโลยี ภูมิปัญญา และการผนึกกำลังกัน ทำให้ SMEs สามารถเติบโตได้ตามพัฒนาการของระบบเศรษฐกิจ สามารถเพิ่มศักยภาพ และสามารถปรับตัวได้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลง ยกระดับสู่ Smart Enterprise เปลี่ยนจาก “ทำมากได้น้อย” (More for Less) เป็น “ทำน้อยได้มาก” และรัฐบาลหวังที่จะเห็น SME ของไทย เป็นส่วนสำคัญในการยกระดับศักยภาพของระบบเศรษฐกิจของประเทศ ดังเช่นประเทศ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น หรือ ไต้หวัน ซึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายที่ทำให้ “GDP SME” เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันร้อยละ 36 เป็น ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2564 สำหรับการจัดงาน SME TRANSFORM #พร้อมเปลี่ยน ประชารัฐร่วมใจ เชื่อม SME ไทยสู่สากล ในวันนี้ นับเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลตามกรอบแนวทาง “ประเทศไทย 4.0” ซึ่งเป็นนโยบายหลักเพื่อขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวสู่ยุค 4.0           โดยสามารถแปลงนโยบายมาสู่การปฏิบัติและขับเคลื่อนได้อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน มีกลไกและมาตรการต่างๆ ที่จับต้องได้ และสามารถช่วยเหลือ SMEs ได้อย่างแท้จริง” นายสมคิด กล่าว  

ด้านนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานพันธมิตร ได้ดำเนินงานตามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ ผ่านมาตรการขับเคลื่อน SMEs ให้เข้าสู่ยุค 4.0 เพื่อพัฒนาด้านกลไกสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจ (Service Upgrading) ด้านการเสริมแกร่ง SMEs (Enablers) ด้านการเพิ่มขีดความสามารถและการปรับเปลี่ยนธุรกิจ (Capacity Upgrading and Transforming) และด้านการยกระดับเศรษฐกิจฐานชุมชน (Local economy) โดยมีการบริการในด้านต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์  ใหม่ ๆ ด้วยนวัตกรรมในเชิงสร้างสรรค์ (Creative Innovation) การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และพัฒนามาตรฐานต่าง ๆ ตลอดจนการรวมกลุ่มเป็น Cluster เป็นต้น 

โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม หรือ Industry Transformation Center (ITC) ที่เปรียบเสมือนข้อต่อกลางที่จะเข้ามาช่วย SMEs ให้สามารถปฏิรูปธุรกิจของตนเองผ่านกระบวนการ SME Transformation ทั้งผลิตภัณฑ์ (Product Transformation) กระบวนการผลิต (Process Transformation) และบุคลากร (People Transformation) ในส่วนมาตรการด้านการเงิน กลไกนี้จะเป็นการเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ SMEs ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุน การเพิ่มวงเงินสินเชื่อ การขยายกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการลดข้อจำกัด หลักเกณฑ์ หรือเงื่อนไขบางประการ เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ทุกกลุ่มทุกระดับ สามารถเข้าถึงแหล่งทุนตามศักยภาพ สามารถฟื้นฟู ปรับกิจการ ขยายธุรกิจ รวมทั้งเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการ SMEs อย่างครอบคลุมและทั่วถึง

สำหรับการจัดงาน SME Transform #พร้อมเปลี่ยน ประชารัฐร่วมใจ เชื่อม SME ไทยสู่สากล ได้จัดขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลได้สร้างโอกาสต่าง ๆ ไว้รองรับ SMEs และวิสาหกิจฐานรากของประเทศในการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน โดยการรวมพลังเครือข่ายประชารัฐในการขับเคลื่อนและยกระดับ SMEs สู่ยุค 4.0 รวมถึงเป็นเวทีให้ SMEs ได้สัมผัสและเรียนรู้ผลสำเร็จนโยบายการส่งเสริม SMEs ตลอดจนการสร้างการรับรู้แนวทางและโอกาสการปรับเปลี่ยนธุรกิจพร้อมนำเสนอกลไก การยกระดับ SMEs ทุกกลุ่ม ทุกมิติ และทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ภายในงานยังมีโซนกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ประกอบด้วย (1) เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง พบกับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ชุมชนให้เกิดมูลค่าเพิ่ม นำสู่การยกระดับวิสาหกิจชุมชน สู่นักธุรกิจมืออาชีพ            (2) พลิกโอกาสสร้างธุรกิจ พบกับผลงานความสำเร็จของนักธุรกิจรุ่นใหม่ พร้อมบริการที่เสริมศักยภาพ           สู่การเป็น Startup (3) ปรับเปลี่ยนยกระดับธุรกิจ พร้อมคำแนะนำสำหรับ SME จาก Big Brother เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้ SME เกิดการเติบโต มั่นคง พร้อมขยายโอกาสสู่ตลาดโลกยุค 4.0 (4) SME ONE เชื่อมต่อทุกความต้องการธุรกิจ มาจุดเดียวครบทุกหน่วยงานที่ให้บริการปรึกษาแนะนำทางธุรกิจครบวงจรแก่ SME (5) การเงินเสริมแกร่ง เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย รวดเร็ว ด้วยแพ็กเกจสินเชื่อ SME จากทุกธนาคาร ในโปรโมชั่นสุดพิเศษ และ (6) ช้อปสินค้าดีมีคุณภาพ แหล่งรวมสินค้า SME คุณภาพดี ได้มาตรฐานในราคาโรงงาน นอกจากนี้ ผู้เข้าชมงานยังจะได้พบกับการสัมมนาที่จะมาเสริมความแกร่งทางธุรกิจ จากวิทยากรผู้มีประสบการณ์ตรง ทั้งจากธุรกิจชุมชน Startup SME โค้ช SME และ Big Brother ด้วย

กระทรวงอุตสาหกรรม จึงขอเชิญชวนประชาชนและผู้ที่สนใจมาร่วมเปิดมิติใหม่กับมาตรการขับเคลื่อนและยกระดับ SME ไทยยุค 4.0 ไปพร้อม ๆ กัน ในงาน SME Transform#พร้อมเปลี่ยน ประชารัฐร่วมใจ เชื่อม SME ไทยสู่สากล ในระหว่างวันที่ 18 – 20 พฤษภาคม 2561 นี้ ณ อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี. – สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ทหารกัมพูชาขุด “คูเลต” ลากยาว 650 เมตร

อุบลราชธานี 28 พ.ค.- เปิดภาพ! “คูเลต” ทหารกัมพูชาขุดลากยาว 650 เมตร จากต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว จุดปะทะทหารไทย เมื่อวันที่ 28 พ.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงาน ภายหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี หลังพบขุดคูเลต จากจุดต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว ระยะทาง 650 เมตร ซึ่งเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ โดยก่อนจะเกิดเหตุปะทะกัน ทหารไทยได้เข้าไปเจรจา เพราะเป็นการละเมิด MOU 2543 เป็นครั้งที่ 2 แต่ทางทหารกัมพูชากับยิงสวนออกมา จึงเกิดการปะทะกัน โดยช่วงนี้อยู่ระหว่างการเจรจาของผู้นำในพื้นที่ทั้งสองฝ่าย โดยฝ่ายทหารไทยยืนยันว่าให้ทหารกัมพูชา ออกจากพื้นที่อ้างสิทธิพร้อมกัน-313 .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ย้ำกัมพูชาต้องยึด MOU 43 หลังละเมิดขุดคูเลต 2 รอบ

อุบลราชธานี 28 พ.ค.- มทภ.2 ย้ำกัมพูชาต้องยึด MOU 43 หลังละเมิดขุดคูเลต 2 รอบ ทหารไทยเข้าเจรจากลับยิงสวน ลั่นปกป้องอธิปไตยตามแผนที่ 1:50,000 เต็มที่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึง เหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ว่า ในช่วงเช้าที่ผ่านมา กำลังพลของกองกำลังสุรนารีได้ลาดตระเวนและพบว่า ทหารกัมพูชาขุดคูเลต เช่นเดียวกับเนิน 745 ช่องบก ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ โดยก่อนจะเกิดเหตุปะทะกัน ทหารไทยได้เข้าไปเจรจา แต่ทางกัมพูชา ยิงสวนออกมา จึงเกิดการปะทะกัน อย่างที่เป็นข่าว สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อจากนี้ ผู้บังคับบัญชาในระดับพื้นที่กำลังพูดคุยเจรจา “ยืนยันว่าทหารไทยทำหน้าที่รักษาอธิปไตยตามแผนที่ 1:50,000 ซึ่งในพื้นที่ทับซ้อนของทั้ง 2 ประเทศ จะมีการออกลาดตระเวนอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายล้ำเข้ามา ซึ่งทุกฝ่ายต้องยึดตาม MOU 2543”.-313.-สำนักข่าวไทย

ปะทะทหารกัมพูชา

ทบ.แจงเหตุปะทะทหารกัมพูชาบริเวณช่องบก คลี่คลายแล้ว

กองทัพบก 28 พ.ค.-ทบ.แจงเหตุปะทะทหารกัมพูชาบริเวณชายแดนช่องบก จ.อุบลราชธานี ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้ว อยู่ระหว่างรอการเจรจา พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา โดยระบุว่าได้รับรายงานจาก กองกำลังสุรนารีเกี่ยวกับเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 05.30 น. โดย หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ได้รับการรายงานว่ามีทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลง ฝ่ายไทยจึงจัดชุดประสานงานเพื่อเข้าพูดคุยเจรจาตามแนวทางการปฏิบัติที่เคยกระทำมา เมื่อถึงบริเวณดังกล่าว กำลังส่วนระวังเหตุของทหารกัมพูชา ได้เข้าใจผิด และเริ่มใช้อาวุธ ฝ่ายไทยจึงใช้อาวุธตอบโต้กลับไป โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ต่อมาเวลา 05.55 น. พลตรี ทล โซะวัน รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ฝ่ายกัมพูชา ได้โทรศัพท์ประสานงานกับ พันเอก บุญเสริม บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยุติ โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงหยุดยิงและตรึงกำลังบริเวณจุดปะทะ ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี เพื่อจัดการกรณีอ้างสิทธิในพื้นที่ และกำหนดแนวทางร่วมกันในการปฏิบัติอย่างสันติ ตามข้อตกลงที่มีอยู่ […]

มติเอกฉันท์ สภาอนุมัติ “พ.ร.ก.ไซเบอร์-สินทรัพย์ดิจิทัล”

รัฐสภา 28 พ.ค.- สภาเอกฉันท์อนุมัติ “พ.ร.ก.ไซเบอร์-สินทรัพย์ดิจิทัล” ให้ธนาคารร่วมชดใช้ค่าเสียหายจาก “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” เร่งคืนเงินผู้เสียหาย ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ วาระการพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 และ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ ซึ่งแบ่งเวลาในการอภิปรายฝ่ายละ 2 ชั่วโมง รวม 4 ชั่วโมง และจะเป็นการรวมพิจารณา และแยกลงมติทีละฉบับ โดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอหลักการว่า เนื่องจากปัจจุบัน มี พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญกรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ยังมีมาตรการบังคับทางกฎหมายที่ยังไม่เพียงพอ กับรูปแบบอาชญากรรม กลุ่มมิจฉาชีพ จึงต้องแก้ไขปรับปรุงให้ทันสมัย เช่น การเร่งคืนเงินให้ผู้เสียหาย, การอาญัติบัญชีม้า, การกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของสถาบันการเงิน ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ และมาตรการการโอนเงินผิดกฎหมาย ผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล จากนั้น ได้เปิดโอกาสให้ สส.อภิปรายอย่างกว้างขวาง โดยนายจุติ […]

ข่าวแนะนำ

“ชัยชนะ” บอกไม่ทราบ ข่าว สส.ดังนครศรีฯ ยกพวกรุมทำร้ายผู้รับเหมา

กทม. 30 พ.ค.-“ชัยชนะ” บอกไม่ทราบ-ไม่รู้ ข่าว สส.ดัง จ.นครศรีธรรมราช ยกพวกรุมทำร้ายผู้รับเหมากลางงานบวช ยืนยันไม่เป็นความจริง นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าว สส.ชื่อดัง จ.นครศรีธรรมราช ยกพวกรุมทำร้ายผู้รับเหมา กลางงานบวชลูกชายของนายก อบต. ต่อหน้าชาวบ้านนับร้อยคน โดยนายชัยชนะ ได้ปฏิเสธข่าวบอก ไม่รู้ ไม่ทราบข่าว พร้อมบอกผู้สื่อข่าวว่า ต้องไปถามที่มาของข่าว เมื่อถามว่า เป็นคนรู้จัก หรือคนใกล้ชิดหรือไม่ นายชัยชนะ ระบุว่า ตนไม่ทราบเหมือนกัน เพราะตอนนี้ยังไม่ทราบข่าวเลย ก่อนย้ำอีกครั้งว่า ต้องไปถามที่มาของข่าว เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่ นายชัยชนะ ตอบว่า “ครับผม” เมื่อถามว่า ไม่ได้เข้าไปในพื้นที่เลยใช่หรือไม่ นายชัยชนะ ระบุว่า ตนลงพื้นที่วันละหลายงาน และเมื่อถามทิ้งท้ายว่า ไม่มีเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทใช่หรือไม่ นายชัยชนะ ยืนยันว่า “ไม่มี“.-315.-สำนักข่าวไทย

ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้มาตรการภาษี ‘ทรัมป์’ ยังบังคับใช้

วอชิงตัน 30 พ.ค. – ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางมีคำสั่งในวันพฤหัสบดี ให้มาตรการภาษีตอบโต้ที่ครอบคลุมมากที่สุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมามีผลบังคับใช้อีกครั้งเป็นการชั่วคราว เพียงหนึ่งวันหลังจากที่ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ ตัดสินว่านายทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตในการเรียกเก็บภาษีเหล่านั้นและสั่งให้ระงับมาตรการภาษีดังกล่าวทันที ศาลอุทธรณ์กลางแห่งสหรัฐอเมริกา ประจำเขตวอชิงตัน ระบุว่ากำลังระงับคำตัดสินของศาลชั้นต้นไว้ชั่วคราว เพื่อพิจารณาคำอุทธรณ์ของรัฐบาล และมีคำสั่งให้ฝ่ายโจทก์ที่ยื่นฟ้องหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีในคดีนี้ยื่นเอกสารตอบกลับภายในวันที่ 5 มิถุนายน และให้ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งเป็นฝ่ายที่ถูกฟ้องร้องหรือเป็นผู้กำหนดภาษี ให้ส่งเอกสารตอบกลับภายในวันที่ 9 มิถุนายน นายทรัมป์เขียนแถลงการณ์ที่เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ว่า เขาหวังว่าศาลฎีกาของสหรัฐจะ ‘กลับคำตัดสินอันเลวร้ายที่คุกคามประเทศ’ ของศาลการค้าระหว่างประเทศ พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายตุลาการของรัฐบาลว่า ‘เป็นปฏิปักษ์ต่ออเมริกา’ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา คณะผู้พิพากษา 3 คนของศาลการค้าระหว่างประเทศ ตัดสินว่ารัฐธรรมนูญให้อำนาจแก่รัฐสภา ไม่ใช่ประธานาธิบดี ในการเรียกเก็บภาษีและอากรศุลกากร และประธานาธิบดีได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตโดยการอ้างใช้กฎหมายว่าด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (International Emergency Economic Powers Act) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งหมายเพื่อรับมือกับภัยคุกคามในสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ.-813.-สำนักข่าวไทย

จับแล้ว “เกม” มือยิงยัดถังถ่วงอ่างเก็บน้ำห้วยใหญ่ตะคร้อ

นครสวรรค์ 29 พ.ค. – เมื่อสัปดาห์ก่อน เกิดเหตุสะเทือนขวัญ พบศพถูกยัดใส่ถังพลาสติกขนาด 200 ลิตร โยนทิ้งในอ่างเก็บน้ำห้วยใหญ่ตะคร้อ จ.นครสวรรค์ วันนี้จับผู้ต้องหาได้แล้ว จากเหตุสยองอ่างเก็บน้ำห้วยใหญ่ตะคร้อ อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ เมื่อมีผู้พบศพชายปริศนา ถูกยัดอยู่ภายในถังพลาสติกขนาด 200 ลิตร ลอยอยู่ใกล้กับตลิ่ง เมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ตำรวจ สภ.ตะคร้อ ต้องทำงานกันอย่างหนัก เพื่อหาคำตอบให้กับเหตุการณ์อันโหดเหี้ยมนี้ เบื้องต้นสามารถยืนยันได้ว่าชายดังกล่าวเสียชีวิตมาแล้ว 3-5 วัน และมีร่องรอยถูกยิงด้วยปืนลูกซอง จากการตรวจสอบในถังพลาสติกยังพบก้อนหินขนาดใหญ่ ถุงปุ๋ย และกระเป๋าสะพายข้าง ไปจนถึงโทรศัพท์มือถือ ทำให้สามารถค้นหาและทราบชื่อผู้เสียชีวิตคือ นายจุฑาเพชร หรืออ้วน อายุ 44 ปี ที่รับจ้างทำไร่ในพื้นที่ อ.โคกเจริญ จ.ลพบุรี จากการสืบสวนและแกะรอยจากกล้องวงจรปิดมานานกว่า 1 สัปดาห์ ทำให้พบว่านายปารวี หรือเกม อายุ 35 ปี เป็นผู้ก่อเหตุ เมื่อตรวจสอบรถกระบะและห้างนาของนายเกม ยิ่งพบหลักฐานสำคัญที่ยืนยันได้ว่านายเกมคือคนร้าย […]

ตั้ง 2 ประเด็น เหตุบุกยิง ครู-อส. งานแข่งตะกร้อ

นราธิวาส 29 พ.ค. – เจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานเหตุคนร้ายยิงถล่ม สภ.จะแนะ จ.นราธิวาส คาดผู้ก่อเหตุมีไม่ต่ำกว่า 10 คน ด้านภรรยาตำรวจที่เสียชีวิต ร่ำไห้ทำใจไม่ได้ ส่วนเหตุบุกยิง ครู-อส. กลางงานแข่งตะกร้อ จนท.ตั้ง 2 ปมก่อเหตุ “ปัญหาส่วนตัว-ความมั่นคง” จากเหตุคนร้ายลอบยิงตำรวจขณะเข้าแถวเคารพธงชาติ ที่สถานีตำรวจภูธรจะแนะ ต.จะแนะ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส และยิงใส่ป้อมรักษาการประตู กระทั่งเกิดการยิงตอบโต้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงประมาณ 15 นาที จนกลุ่มผู้ก่อเหตุหลบหนีไป หลังเกิดเหตุ ส.ต.อ.อับดุลเลาะ มะกาเซ็ง อายุ 30 ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และสิบตำรวจเอก เจษฎา พรหมรัตน์ อายุ 33 ปี บาดเจ็บสาหัส เมื่อวานนี้ (28 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านตำรวจที่เสียชีวิต เป็นสถานที่จัดงานให้ชาวบ้านมาร่วมทำบุญและแสดงความเสียใจกับครอบครัว หลังนำร่าง ส.ต.อ.อับดุลเลาะ ประกอบพิธีฝังศพที่กูโบร์บ้านบาเร๊ะบาโร๊ะ เมื่อคืนที่ผ่านมา (28 พ.ค.) นางสาวนุชฮูดา […]