นิด้า 30 มี.ค. – รองนายกรัฐมนตรีแนะคนรุ่นใหม่เข้ามาพัฒนาการเมืองไทย ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ ลั่นกลางเวทีสัมมนานิด้า จีดีพีปี 61 โตสูงกว่าร้อยะ 4
นายสมคิด จาจุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในการประชุมวิชาการระดับชาติ เนื่องในโอกาสครบรอบปีที่ 52 แห่งการสถาปนาสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ประจำปี 2561 ว่า อยากให้ทุกคนเปลี่ยนทัศคติเกี่ยวกับการเมือง และยึดถือว่าการเมืองเป็นหน้าที่ของทุกคน เพื่อให้คนรุ่นใหม่ช่วยกันเข้ามาพัฒนาการเมืองให้ดีขึ้น หากการเมืองไม่ดี เศรษฐกิจและสังคมจะไม่ดีตามไปด้วย เพื่อต้องการให้ภาคเอกชน คนุร่นใหม่ไฟแรง ร่วมกันพัฒนาและปฏิรูปประเทศ ไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจของประเทศจะไม่ขยายตัว เมื่อไม่เกิดการลงทุนก็จะเป็นเหมือนอดีต
ขณะที่การสร้างการเมืองที่ดี คือ การมีความรับผิดชอบ ไปถึงจุดหมายให้ได้ นี่คือหัวใจของความยั่งยืน คนรุ่นใหม่ควรเข้ามาสืบทอด หากคนรุ่นใหม่และเอกชนไม่เข้ามาแล้วใครจะมาทำงาน จึงอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมเปลี่ยนทัศนคติว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคนต้องเข้ามาต้องมีคนเสียสละ อยากจะเปลี่ยนแปลงประเทศต้องทำให้ได้ ไม่ใช่ทำแค่กระพี้ อย่าหลอกตัวเองเพียงใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” พูดอยู่แค่ 2 เรื่องคือ รัฐธรรมนูญกับการเลือกตั้ง
นายสมคิด กล่าวย้ำว่า แม้รัฐบาลสามารถผลักดันให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ช่วงแรกที่เข้ามาบริหารประเทศจากร้อยละ 0.8 เพิ่มเป็นร้อยละ 4 ในปี 2560 จึงคาดว่าเมื่อปัจจัยทุกอย่างเริ่มเดินหน้า ทั้งการลงทุนภาครัฐและเอกชน ปัจจัยบวกด้านต่าง ๆ เริ่มดีขึ้นจะผลักดันให้ปี 2561 จีดีพีขยายตัวได้เกินร้อยละ 4 อย่างแน่นอน เพราะมีปัจจัยบวกทั้งตัวเลขส่งออก การท่องเที่ยว ดุลการชำระเงิน เงินสำรองระหว่างประเทศของไทย จากนี้ไปต้องทำให้เกิดความยั่งยืนได้อย่างไร เหมือนกับจีนประกาศชัดเจนว่าต้องทำให้เศรษฐกิจเติบโตยั่งยืน สถาบันนิด้าต้องเข้าไปมีส่วนร่วมสร้างความยั่งยืนให้บ้านเมือง
ขณะนี้รองนายกรัฐมนตรีจีนคนใหม่ประกาศชัดเจน ไม่ได้มุ่งเน้นการเติบโตของจีดีพี แต่ต้องการดูแลคุณภาพการเติบโตและลดช่องว่างทางสังคม ผลักดันให้เกิดนวัตกรรมในประเทศ การผลิตสินค้าสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้น การสร้างยั่งยืน จึงถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ของการพัฒนาระบบเศรษฐกิจปัจจุบัน ขณะนี้มีเอกชนของจีนมาหารือ คือ บริษัท เซี่ยวมี่ ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ อันดับ 3 ของจีน และบริษัท คิงส์ซอร์ฟ ดำเนินธุรกิจโปรเซสเซอร์ และที่ผ่านมาไปลงทุนในอินโดนีเซียและอินเดีย จึงเข้ามาลงทุนใช้ไทยเป็นศูนย์กลางเพื่อแข่งขันกับไมโครซอฟท์ให้ได้ในราคาถูกกว่า ขณะที่ไทยต้องเตรียมพัฒนาบุคคลากรรองรับความต้องการของภาคเอกชนต่างชาติ. – สำนักข่าวไทย