กรุงเทพฯ 29 มี.ค.- แจ้ง 2 ข้อหากับ”ดาบตำรวจ ตม.สุวรรณภูมิ”เมากร่างเบ่งกินฟรีก่อนใช้อาวุธปืนข่มขู่พนักงานร้านอาหารใน.จ.ฉะเชิงเทรา ขณะที่ต้นสังกัดเตรียมพิจารณาความผิดต่อไป
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. เปิดเผยถึงกรณีที่สื่อนำเสนอข่าว ชายอ้างเป็นตำรวจไม่ยอมจ่ายเงินค่ารับประทานอาหาร ที่ร้านอาเหลียง จว.ฉะเชิงเทรา ซึ่งต่อมาได้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทกับพนักงานภายในร้านฯ ว่า เหตุดังกล่าวเกิดเมื่อ วันที่ 28 มีนาคม 2561 เวลาประมาณ 00.30 น. มีชายที่ปรากฏในคลิปวีดีโอ (ทราบชื่อภายหลัง คือ ด.ต.ชัยยันต์ ระตะขันธ์ สังกัด ตม.ขาออก ด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ บก.ตม.2 ) ได้เข้ามารับประทานอาหารภายในร้านอาเหลียง เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ พนักงานร้านได้เรียกเก็บเงิน จำนวน 270 บาท แต่ ด.ต.ชัยยันต์ฯ ได้ชำระเพียง 170 บาท ซึ่งต่อมาได้ชำระเงินอีกจำนวน 100 บาท และภายหลังได้เกิดมีปากเสียงกับเจ้าของร้านและพนักงานร้านอาเหลียง ซึ่งมีเพื่อนของ ด.ต.ชัยยันต์น คอยห้ามปราม หลังจากนั้นได้แยกย้ายกันไป
ต่อมา ด.ต.ชัยยันต์ฯ ได้ขับขี่รถยนต์ กระบะมาจอดบริเวณหน้าร้านฯ พร้อมอาวุธปืนเหน็บอยู่บริเวณเอวด้านหลัง แล้วเดินเข้าไปหาพนักงานร้านอาเหลียงคนหนึ่งที่อยู่นอกร้าน จากนั้นได้หักข้อมือพนักงานคนดังกล่าว ก่อนที่พนักงานจะดึงปืนที่เหน็บอยู่บริเวณเอวด้านหลังของ ด.ต.ชัยยันต์ฯ แล้วเหวี่ยงปืนเข้าภายในร้านฯ พนักงานภายในร้านจึงเก็บอาวุธปืนไว้ จากนั้น เจ้าของร้านจึงได้โทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เข้ามาระงับเหตุ และภายหลังได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี
เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ได้แจ้งข้อกล่าวหากับ ด.ต.ชัยยันต์ ระตะขันธ์ ในความผิดฐาน พกพาอาวุธปืนไปในเมืองหรือหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร และทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว โดยการขู่เข็ญ พร้อมกันนี้ได้รายงานเหตุไปยังผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด ของ ด.ต.ชัยยันต์ฯ ทราบ เพื่อให้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
รองโฆษก ตร. กล่าวต่ออีกว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้กำชับกองบัญชาการทุกภาคส่วนมาโดยตลอด ให้กำกับ ดูแล ผู้ใต้บังคับบัญชาในสังกัด อย่างใกล้ชิด คอยสอดส่อง ดูแล ให้ประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในระเบียบวินัย ตามคำสั่ง ตร.ที่ 1212/2537 โดยต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ประพฤติปฏิบัติตนเหลื่อมล้ำกับกฎหมาย โดยหากพบว่าตำรวจเป็นผู้กระทำความผิดเสียเองและสร้างความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชน ท่าน ผบ.ตร.ยอมรับไม่ได้ ต้องเอาผิดให้ถึงที่สุดทั้งทางวินัยและทางอาญา อย่างเด็ดขาด และจะต้องรับโทษหนักกว่าบุคคลธรรมดา ซึ่งไม่มีใครสามารถช่วยเหลือได้อย่างแน่นอน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนอย่างแท้จริง.-สำนักข่าวไทย