สำนักข่าวไทย 10 ก.พ.- นักจิตแพทย์ วิเคราะห์ พฤติกรรม การล่าสัตว์ของนายเปรมชัย เข้าข่าย ล่าเพื่อสนองอัตตา ชี้เป็นปมอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่พบในคนมีสถานะ เพราะใช้อำนาจเงินเป็นแรงขับ
นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึง กรณีพฤติกรรมการล่าสัตว์ ในกลุ่มคนที่มีเศรษฐสถานะที่ดีในสังคม ว่า พฤติกรรมการล่าสัตว์ แบ่งเป็น 3 ระดับ 1. การล่าสัตว์แบบอาชีพ 2. การล่าเพื่อเกมส์กีฬา และ 3. การล่าเพื่อสนองอัตตาของตัวเอง โดยพบว่า การล่าสัตว์ แบบที่ 2 และ 3 มีความใกล้เคียงกัน แต่แตกกัน ในเชิงของเกมส์กีฬา เน้นการฝึกฝนความแม่ยำ แต่ไม่ทำกับทำลายชีวิต อาจมีการจับสัตว์แต่แล้วก็ปล่อยไป หรือ ล่าในเฉพาะสัตว์ที่ถูกกำหนด เช่น นก2 ตัว ปลาตัวใหญ่ 1 ตัว ส่วนการล่าเพื่อสนองอัตตา เป็นการล่า ที่คิดว่า ทำให้ตนเองเป็นคนเก่ง และเน้นการทำลายชีวิต ไม่สนในแง่มุม ความถูกผิด จึงมักพบการล่าสัตว์ที่ผิดกฎหมาย และมักพวงด้วยความเชื่อที่ผิดๆ เช่น การล่าสัตว์ที่หายาก และได้รับประทาน จะช่วยเพิ่มพลังของร่างกาย หรือทำให้ได้รับมีพลัง อานุภาพจากสัตว์ จึงมีความนิยม ล่าสัตว์ใหญ่ หรือสัตว์ที่มีอำนาจทรงพลัง
นพ.ยงยุทธ กล่าวว่า การล่าสัตว์เพื่อสนองอัตตา ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากปม แม้ว่า จะเป็นจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง หรือ ประสบความสำเร็จในทุกด้าน แต่อก็ยังต้องการ เพราะอัตตาเป็นแรงขับ ส่วนที่คนส่วนใหญ่มักคิดว่าพฤติกรรมการล่าสัตว์มักเกิดในคนมีฐานะ จริงๆ แล้วไม่ใช่ เกิดได้ทุกกลุ่ม แต่ว่า การพบในคนมีฐานะดี ในสังคม นั้น เพราะว่าทุกอย่าง ต้องอาศัยอำนาจเงินในการขับเคลื่อน เงินจะเข้าตั้งแต่ การซื้อหาอาวุธ ราคาแพง ประสิทธิภาพดีในการล่า ,เงินช่วยให้สามารถจ้างนายพรานชำนาญไพร ,เงิน ช่วยอำนาจความสะดวกในการเข้าพื้นที่ คนทั่วไป หากแต่มีความชอบหรือมีอัตตา แต่ไม่มีฐานะ คงทำเรื่องนี้ได้ยากขึ้น
นพ.ยงยุทธ กล่าวว่า ทางแก้ในเรื่องนี้ ต้องเริ่ใมจากการรู้ตัวว่าทำอะไร และค่อยคิดแก้ไข หากไม่รู้ตัวก็แก้ได้ยาก ส่วนเรื่องที่หลายฝ่ายเรียกร้องนำธรรมาภิบาล มากดดันบริษัทอิตาเลี่ยนไทย ฯ ที่นายเปรมชัย กรรณสูตร เป็นประธานบริหาร อยู่นั้น มองว่า เป็นเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ดี ที่สังคมช่วยกันกดดัน และต่อไปจะเป็นบรรทัดฐาน สำหรับผู้บริหารทุกๆบริษัทในอนาคต ไม่ให้มีพฤติกรรมเช่นนี้ .-สำนักข่าวไทย