กทม.29 ม.ค.- มีการหารือมาตรการป้องกันการทำธุรกรรมการเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในระบบบิทคอยน์ ซึ่งมีมูลค่าเสียหายสูงถึง 20 ล้าน
กลุ่มบริษัทที่ทำธุรกรรมเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล หรือ บิทคอยน์ เข้าหารือกับตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหามาตรการป้องกันการทำธุรกรรมของกลุ่มเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์
พล.ต.อ.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตำรวจได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากกลุ่มบริษัทที่ทำธุรกรรมให้บริการเกี่ยวกับสกุลเงินบิทคอยน์ ที่ผ่านมาพบว่า มีมากถึงร้อยละ 90 ที่เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์โอนเงินจากการกระทำผิดเข้าสู่ระบบบิทคอยน์ มีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 20 ล้านบาท เนื่องจากช่องทางนี้ยากต่อการตรวจสอบการทำธุรกรรมผ่านบิดคอยน์ เพราะกฎหมายในประเทศไทยยังไม่รองรับสกุลเงินบิทคอยน์ ตำรวจยังส่งข้อมูลบัญชีบุคคลต้องสงสัยในแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนหนึ่ง ให้ตัวแทนบริษัทไปตรวจสอบว่า มีการทำธุรกรรมในบริษัทหรือไม่ อนาคตจะเก็บรวบรวมฐานข้อมูลบริษัทที่นอกเหนือจากนี้ ซึ่งพบว่ายังมีอีกจำนวนมากจงใจจดทะเบียนการค้าโดยหลีกเลี่ยงกฎหมาย
นายศิวัช ชาวบางนา ผู้อำนวยการศูนย์สารสนเทศ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ป.ป.ง. ยอมรับ การทำธุรกรรมผ่านบิทคอยน์ กฏหมายของ ป.ป.ง.ยังไม่สามารถเข้าไปอายัดทรัพย์ได้ เพราะกฎหมายประเทศไทยยังไม่รับรองสกุลเงินนี้ จึงไม่เข้ามูลฐานความผิดฟอกเงิน ดังนั้น ป.ป.ง.อยู่ระหว่างการร่างกฎหมายเพื่อเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขให้ทันยุคสมัย
ด้านนายสิริคุณ ไตรวิทยาคุณ ตัวแทนบริษัท คอยน์ ทีเอช จำกัด ที่ทำธุรกรรมเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล หรือ บิดคอยน์ ยืนยันว่า มีข้อมูลผู้ใช้บัญชีบิทคอยน์อยู่ในฐานระบบบริษัท สามารถตรวจสอบประวัติและการทำธุรกรรมของเจ้าของบัญชีได้ แต่หากเจ้าของบัญชีไปลงทะเบียนไว้กับบริษัทหรือเว็บไซต์ต่างประเทศจะไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่ทั้งนี้บริษัทพร้อมให้ความร่วมมือหากตำรวจต้องการข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยในกการเปิดบัญชีบิทคอยน์ผ่านบริษัท หรือ ตัวแทนในประเทศไทย จะใช้หลักฐานสำคัญ 2 อย่าง คือ บัตรประชาชน รูปถ่าย และบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงินในประเทศไทย เพื่อยืนยันตัวตน และมีการทำธุรกรรมในประเทศไทย จากนั้นทางบริษัทจะอนุมัติให้ทำการซื้อ-ขาย หรือขุดบิทคอยน์ได้ทันที.-สำนักข่าวไทย