ทำเนียบฯ 18 ม.ค. – รองนายกรัฐมนตรียืนยันเงินบาทแข็งค่า เพราะเศรษฐกิจไทยฟื้น พร้อมให้สหรัฐตรวจสอบข้อมูลกรณีจับตาประเทศเกินดุลบัญชีเดินสะพัด กำชับ ธปท.ดูแลค่าเงินอย่างใกล้ชิด
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีสหรัฐจับตาประเทศไทยอาจเข้าข่ายขึ้นบัญชีดำประเทศที่อาจมีส่วนทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าจากการแทรกแซงค่าเงิน ซึ่งจะประกาศเดือนเมษายนนี้ เพราะไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่าร้อยละ 3 ของจีดีพี มีการซื้อเงินสกุลต่างประเทศเกินร้อยละ 2 ช่วงปีที่ผ่านมา และยังเกินดุลการค้ากับสหรัฐประมาณ 18,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นายสมคิด ยืนยันว่าไทยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการแทรกแซงค่าเงิน แต่เพราะดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยดีขึ้นมาก การค้าเกินดุลจำนวนมาก การลงทุนเพิ่มขึ้น เสถียรภาพเศรษฐกิจเข้มแข็ง ดัชนีตลาดหุ้นไทยขยับสูงต่อเนื่อง และหลักสำคัญไม่ได้มาจากเศรษฐกิจไทย แต่เป็นเพราะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเอง จึงได้ขอข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทตลอด ยอมรับว่าค่าเงินบาทแข็งค่าสอดคล้องกับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ริงกิตมาเลเซียยังแข็งค่ากว่าเงินบาทไทย ส่วนจีนไม่ได้ถือครองเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ หรือทรัพย์สินของสหรัฐจำนวนมากเหมือนอดีต จึงทำให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
“ได้กำชับ ธปท.ดูแลการเคลื่อนไหวของเงินบาทอย่างใกล้ชิดและเข้มงวด มีอะไรผิดปกติทำให้ผันผวนไหม และหากสหรัฐจะมาดูข้อมูลเศรษฐกิจของไทย พร้อมเปิดให้ดูอย่างโปร่งใส เพราะค่าเงินบาทของไทยเคลื่อนไหวแข็งค่าตามเศรษฐกิจ เนื่องจากขณะนี้การส่งออกขยายตัว การท่องเที่ยวดีต่อเนื่อง การลงทุน เงินบาทย่อมแข็งค่าตามเป็นเรื่องธรรมดา” นายสมคิด กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อเงินบาทแข็งค่าต้องอาศัยจังหวะนี้ลงทุนพัฒนาปรับปรุงเครื่องจักร อุปกรณ์รองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มศักยภาพ เพราะซื้อได้ในราคาถูกลงจากต่างประเทศ และภาคเอกชนควรเร่งรัดการลงทุน ส่วนการชำระหนี้ต่างประเทศได้วางตารางชำระหนี้ล่วงหน้าเกือบหมดแล้วจนอยู่ในระดับไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม นายสมคิด ไม่ขอพูดถึงการซื้อขายเงินดิจิทัล ซึ่งเริ่มมีการซื้อขายกันมากขึ้น จึงปล่อยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแล . – สำนักข่าวไทย