กรุงเทพฯ 10
ม.ค.-ปตท.พร้อมรับเปิดเสรีค้าก๊าซแอลพีจี
โดยใช้หลักดูแลความปลอดภัยถังก๊าซเป็นสำคัญ เร่งติดตั้ง Check Lock Valve เสริมความปลอดภัย ลั่นไม่ปิดปั๊มแอลพีจี 240 แห่ง
แต่ใช้ธุรกิจไม่ใช่น้ำมัน หรือ non-oil เข้าเสริมดึงรายได้
นายมุนินทร์
ไตรภพ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่การตลาดพาณิชย์ บมจ.ปตท. กล่าวว่า
ถึงกรณีนโยบายกระทรวงพลังงานที่กำลังศึกษาเรื่องศูนย์ซ่อมกลางถังก๊าซแอลพีจีและการเปิดเสรีโรงบรรจุก๊าซให้ข้ามแบรนด์กันได้
ว่าปตท.ในฐานะผู้มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดร้อยละ 48
พร้อมให้ความร่วมมือแต่ก็ขอดูหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าทำแล้วเกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากน้อยเพียงใด
ซึ่งหากบรรจุข้ามแบรนด์แล้วภาครัฐจะออกระเบียบควบคุมการดูแลถังของแต่ละแบรนด์ เหมือนกับที่เอกชนแต่ละรายคุมกันเองได้หรือไม่ โดยปัจจุบัน
ปตท.เน้นเรื่องความปลอดภัยถังก๊าซเป็นสำคัญ แต่ละปีใช้งบประมาณซ่อมแซมถัง 200 ล้านบาท เพื่อนซ่อมบำรุงถัง 2.5 ล้านใบ/ปี และหากรวมเรื่องการทำลายถังการผลิตถังใหม่ก็อยู่ที่
700-800 ล้านบาท/ปี มีศูนย์ซ่อม 6 แห่งทั่วทุกภาค มีโรงบรรจุ 176 แห่ง
ปตท.ยังได้คิดค้นอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัยในระหว่างบรรจุ
การใช้และการขนส่ง คือ อุปกรรณ์เช็คล็อควาล์ว (Check Lock Valve )เพื่อแก้ปัญหาวาล์วของถังค้าง
และคลายตัวเมื่อเกิดอุบัติเหตุในระหว่างการขนส่งจนเป็นเหตุให้ก๊าซฯรั่วไหล
ซึ่งได้เริ่มดำเนินการเปลี่ยนมาตั้งแต่ปี2559 และคาดว่าจะสามารถเปลี่ยนวาล์วของถังเป็นระบบใหม่ได้ทั้งหมดภายใน
6 ปี จากปัจจุบันที่มีถัง LPG ของปตท.อยู่ราว 15 ล้านใบในตลาด และปตท.จะสั่งถัง
LPG ใหม่ประมาณ 5-6 แสนใบ/ปี
โดยส่วนหนึ่งเพื่อทดแทนถังเก่าที่ไม่ได้มาตรฐานราว 1 แสนใบ/ปี
นายมุนินทร์
ระบุด้วยว่าการค้าขายแอลพีจีไม่ใช่ธุรกิจที่สร้างกำไรมากนัก
ปตท.มีกำไรประมาณร้อยละ 1
จากยอดขาย3 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยตลาด LPG ของประเทศซึ่งมีอยู่
3 ตลาด รวม 4,100 ล้านกิโลกรัม/ปี ซึ่งไม่รวมการใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
โดยเป็นตลาดภาคครัวเรือน ประมาณ 2,100 ล้านกิโลกรัม/ปี
ในส่วนนี้เป็นยอดขายของปตท.ราว 1,000 ล้านกิโลกรัม/ปี
คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด ร้อยละ 48 ,ภาคขนส่ง
ประมาณ 1,400 ล้านกิโลกรัม/ปี ปตท.มีสัดส่วน 250 ล้านกิโลกรัม/ปี และภาคอุตสาหกรรม ประมาณ 600 ล้านกิโลกรัม/ปี ในส่วนนี้เป็นของปตท.ราว 300-320 ล้านกิโลกรัม/ปี ซึ่งปตท. คาดว่ายอดขายภาคครัวเรือนปีนี้จะเติบโตราวร้อยละ 1 ซึ่งเป็นการเติบโตเท่ากับตลาด , ภาคขนส่ง ของปตท. คาดว่าจะปรับตัวลงน้อยกว่าตลาด
ที่คาดว่าจะหดตัวลง ร้อยละ10
และภาคอุตสาหกรรม คาดว่าจะเติบโตเท่ากับตลาดที่คาดขยายตัวร้อยละ
3 ในปีนี้
“รัฐบาลส่งเสริมตลาดค้าเสรีแอลพีจี แต่
ปตท.ยังมั่นใจว่าจะครองส่วนแบ่งที่ 1 ต่อไป ไม่เน้นการประชาสัมพันธ์
แต่เน้นเรื่องการรักษาความปลอดภัยบำรุงรักษาถังก๊าซ ตลาดภาคขนส่งจะแข่งขันรุนแรง ในขณะที่ที่ความต้องการใช้ลดลง
ปตท.ไม่มีแผนปิดปั๊มแอลพีจี 240 แห่ง แต่จะช่วยให้ดีลเลอร์อยู่ได้ โดยปตท.เตรียมนำธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน
(non oil) เข้ามาเสริม ได้แก่ ร้านกาแฟอเมซอน ร้าน 7-11
ซึ่งขณะนี้มีแล้วใน 30 สถานี“นายมุนินทร์ กล่าว
นายมุนินทร์
กล่าวด้วยว่า ปตท.กำลังมีแผนจะจำหน่ายก๊าซถังคอมโพสิต 11 กก. ในพื้นที่เขตเมือง
เช่น กรุงเทพฯและปริมณฑล แต่เนื่องจากต้นทุนสูงค่ามัดจำถังอาจจะตกราว 2,000
บาท/ถัง ซึ่งคาดว่าจะประกาศแผนที่ชัดเจนในปีนี้ โดยที่ผ่านมา ปตท.ได้เปลี่ยนถังก๊าซ
LPG ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
จากถังเหล็ก เป็นถังก๊าซคอมโพสิต ตามนโยบายรัฐบาลเพื่อป้องกันการก่อเหตุรุนแรง เปลี่ยนถังไปแล้วกว่า
5 หมื่นใบ จาก 6 หมื่นใบ
หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 50 ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีถังทั้งสิ้น 1.2 แสนใบ –สำนักข่าวไทย