กรุงเทพฯ 14 ส.ค. – กลุ่ม ปตท.ประกาศกำไรครึ่งแรกปี 68 กำไร 44,848 ล้านบาท ลดลง 30.4% กระทบจากน้ำมันโลกลดลง ขาดทุนจากสตอก 5,800 ล้านบาท เร่งปรับแผนการลงทุน เสริมสร้างความแข็งแกร่ง ภายใต้นโยบายการเงินที่เข้มงวด ฐานะการเงินของกลุ่มแกร่ง มีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นสูงถึงกว่า 4 แสนล้านบาท
บมจ.ปตท. แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ในไตรมาส 2/68 ปตท.และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จำนวน 78,793 ล้านบาท ลดลง 36,541 ล้านบาท หรือ 31.7% จากไตรมาส 2/67 ที่มีจำนวน 115,334 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 21,533 ล้านบาท ลดลง 39.3% มียอดขาย 676,754 ล้านบาท ลดลง 17.7%
ส่วนงวดครึ่งแรกปี 68 กำไรสุทธิ 44,848 ล้านบาท ลดลง 30.4% จากช่วงดียวกันปีก่อน มียอดขาย 1,376,977 ล้านบาท ลดลง 14.2% เนื่องจาก EBITDA ที่ลดลงสาเหตุหลักมาจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นผลดำเนินงานลดลงเนื่องจากมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันสุทธิและมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือ 5,800 ล้านบาท จากที่กำไร 5,400 ล้านบาทในครึ่งปีแรกของปี 67

นางสาวภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน ปตท. แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ปตท.ปรับแผนการลงทุนต่อเนื่อง มีกลยุทธ์มุ่งเน้นธุรกิจที่มีอยู่เดิม รวมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งภายในกลุ่ม ภายใต้นโยบายการเงินที่เข้มงวดทําให้ฐานะทางการเงินของกลุ่ม ปตท.ยังคงมีความแข็งแกร่ง บริษัทมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นอยู่ในระดับสูงที่ 413,902 ล้านบาท ณ.สิ้นไตรมาส 2/68 ระดับหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยลดลง ตามกลยุทธ์การลดภาระหนี้ และ กลุ่ม ปตท.ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในโครงการสําคัญต่างๆ เช่น โครงการของ ปตท.สผ. ควบคู่การดําเนินโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อเพิ่มมูลค่าตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมันในการสร้างความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/68 ที่ลดลง สาเหตุหลักมาจากการดำเนินงานที่ลดลงของกลุ่มธุรกิจ ต่างๆ ดังนี้กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ผลการดำเนินงานลดลงจากราคาขายและปริมาณขายเฉลี่ยลดลง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ประกอบกับ กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีผลการดำเนินงานลดลง โดยธุรกิจการกลั่น ผลการดำเนินงานลดลงเนื่องจากไตรมาสนี้มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันสุทธิและมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือ โดยในไตรมาส 2/68 ขาดทุนประมาณ 7,200 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาส 2/67 กำไรประมาณ 2,800 ล้านบาท แม้ว่ากำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) และปริมาณขายเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมี ผลการดำเนินงานลดลงจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของกลุ่มอะโรเมติกส์และโอเลฟินส์ที่ปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศมีกำไรต่อหน่วยลดลงจากส่วนต่างราคาซื้อ-ขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมถึงกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจจัดหาและค้ำประกันก๊าซฯ กำไรขั้นต้นลดลงจากต้นทุนก๊าซฯ ที่ปรับลดลงน้อยกว่าราคาขายเฉลี่ยให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่ลดลง ขณะที่ธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากต้นทุนที่ลดลง เนื่องจากในไตรมาส 2/67 มีผลกระทบจากการเริ่มใช้นโยบาย Single Pool ในการคำนวณราคาก๊าซฯ โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 67
ธุรกิจปิโตรเคมี มีผลการดำเนินงานลดลง โดยหลักมาจากกลุ่มโอเลฟินส์ เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น แม้ว่าปริมาณขายจะเพิ่มขึ้น กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ มีผลการดำเนินงานปรับลดลงจากการรับรู้ขาดทุนจากการ Mark-to-market ของสินค้าระหว่างการขนส่ง และส่วนต่างของราคาซื้อขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง กลุ่มธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีก มีผลการดำเนินงานลดลงเช่นกัน โดยหลักจากกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรของน้ำมันอากาศยานและน้ำมันเบนซินที่ปรับลดลง กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ มีผลการดำเนินงานลดลงเช่นกัน โดยหลักจาก ธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ มีกำไรขั้นต้นลดลงจากราคาขายเฉลี่ยที่ปรับลดลงตามราคาอ้างอิง แม้ว่าปริมาณขายรวมจะเพิ่มขึ้น ธุรกิจจัดหาและค้าส่งก๊าซฯ มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากต้นทุนก๊าซฯ ที่ปรับลดลงตามราคา Pool Gas
อย่างไรก็ตาม มีการรับรู้รายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (Non-recurring Items) สุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. เป็นกำไรประมาณ 4,200 ล้านบาท โดยหลักจาก บมจ.ไทยออยล์ [TOP] ที่มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วมจากการซื้อกิจการในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของการเข้าซื้อและควบรวมโรงกลั่นน้ำมันของกลุ่มเชลล์ในสิงคโปร์ ขณะที่ในไตรมาส 1/68 รับรู้เป็นขาดทุนประมาณ 200 ล้านบาท โดยหลักจากส่วนแบ่งผลขาดทุนจากการด้อยค่าสุทธิกับการกลับรายการด้อยค่างินลงทุนของบริษัท อูเบะ เคมิคอลส์ (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) (UCHA) ของ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC).-511-สำนักข่าวไทย