กรุงเทพฯ 7 ม.ค. แพทย์ชี้ไร้หลักฐานสนับสนุนว่า บุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา 95 %
ยิ่งสูบยิ่งติด ก่อโรคมะเร็ง เส้นเลือดสมอง หัวใจ อุดตัน หมกเม็ด “น้ำยา” ผลิตจากสารนิโคติน สารเคมีสกัดจากใบยาสูบ มีปริมาณนิโคตินหนักกว่าบุหรี่แบบมวนหลายเท่า แถมสารก่อมะเร็งกลุ่มกลีเซอรีนอีกเพียบ
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดีย ระบุว่า บุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา 95% และมีผู้แทนผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าได้เข้ายื่นหนังสือถึงประธานกรรมาธิการพาณิชย์ การอุตสาหกรรมและการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เพื่อขอให้ทบทวนการแบนบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยว่า รายงานที่อ้างว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา 95% ได้รับการเปิดโปงว่า เป็นรายงานจาก Nutt et al เป็นความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ 12 คน ในจำนวนนี้มี 6 คนที่ไม่มีประวัติการทำงานเกี่ยวกับการควบคุมยาสูบมาก่อน และมี 2 คน มีความสัมพันธ์กับบริษัทบุหรี่ไฟฟ้า โดยเป็นผลการประชุมกันเมื่อปี 2556 เป็นความเห็น โดยไม่ได้แสดงหลักฐานสนับสนุน และหน่วยงานศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐอเมริกา คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป รวมทั้งองค์การอนามัยโลกไม่ได้ยอมรับรายงานดังกล่าว ลองคิดง่ายๆ ว่า คนที่สูบบุหรี่ 70% ต้องติดบุหรี่ไปตลอดชีวิต เพราะติดนิโคติน ดังนั้น แม้จะถ้าเป็นการสูบบุหรี่ไฟฟ้าก็ต้องติดนิโคตินไปตลอดชีวิตเหมือนกัน ที่สำคัญปัจจุบันมีรายงานผลกระทบบุหรี่ไฟฟ้าออกมาเพิ่มเติมอีกหลายรายงานว่า บุหรี่ไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยมีความเสี่ยงการเกิดโรคปอด โรคหัวใจและหลอดเลือด และยังพบว่านักเรียนมัธยมที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าในอเมริกา การติดตามต่อมาพบว่ามีอัตราการหันไปสูบบุหรี่ธรรมดามากกว่านักเรียนที่ไม่เคยสูบบุหรี่ไฟฟ้า 4 เท่า
ด้าน นพ.วันชาติ ศุภจัตุรัส กรรมการสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งการห้ามนำเข้า จำหน่าย และสูบ ซึ่งเป็นข้อกฎหมายที่เหมาะสมกับสถานการณ์การดูแลป้องกันสุขภาพของประชาชนดีอยู่แล้ว โดยบุหรี่ไฟฟ้า และบารากู่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่บริษัทผู้ผลิตบุหรี่ในต่างประเทศผลิตขึ้นเพื่อทดแทนการตลาดของบุหรี่แบบมวน โดยบริษัทผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้าทำการตลาดโดยปกปิดข้อมูลสำคัญในหลายประการ โดยเฉพาะประชาสัมพันธ์ว่า บุหรี่ไฟฟ้าสามารถทดแทนการใช้บุหรี่ธรรมดาได้โดยไม่มีสารก่อมะเร็ง ไม่สร้างมลพิษต่อคนรอบด้าน สามารถใช้สูบเพื่อเลิกบุหรี่ธรรมดาได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ยังมีความคลาดเคลื่อน โดยเฉพาะประเด็นบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยไม่มีนิโคติน สูบแล้วไม่ติด ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดอย่างมาก
“บริษัทผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้าไม่เคยกล่าวถึงส่วนประกอบหลักของน้ำยา(e-liquid) ว่ามีส่วนสารประกอบใดบ้าง ซึ่งน้ำยา มีส่วนประกอบของนิโคตินที่เป็นสารสกัดจากใบยาสูบในรูปของสารเคมีผสมกับสารระเหยที่ให้กลิ่นจากใบไม้และดอกไม้ โดยความเข้มข้นของสารนิโคตินมีปริมาณที่ความแตกต่างกันตามยี่ห้อและประเภทน้ำยา ซึ่งส่วนใหญ่จะมีนิโคตินสกัดที่มีปริมาณสูงเข้มข้นกว่าบุหรี่ธรรมดาหลายเท่า สารเคมีสกัดนิโคติน ถือเป็นสารเสพติด สูบแล้วจะไปเกาะกับเซลล์ในสมองเมื่อไม่ได้สูบก็รู้สึกกระวนกระวาย ทำให้ต้องสูบซ้ำเพิ่มอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นลักษณะของการเสพติด ที่สำคัญยังมีสารก่อมะเร็งคือ กลุ่มกลีเซอรีน (Glycerin) อีกด้วย” นพ.วันชาติกล่าว
นพ.วันชาติ กล่าวต่อว่า เมื่อสูบบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว สารเคมีสกัดนิโคตินจัดอยู่ในประเภท Alkaloid เมื่อเข้าสู่ร่างกายผสมในกระแสเลือดแล้ว จะมีผลให้เส้นเลือดเกิดการอักเสบ เส้นเลือดขรุขระ มีการเกาะตัวของเลือดและเกร็ดเลือดจนเส้นเลือดอุดตันได้ทั่วร่างกาย ถ้าอุดตันที่เส้นเลือดสมองจะเป็นอัมพาต ถ้าอุดตันที่เส้นเลือดหัวใจจะเป็นโรคหัวใจวายจากการขาดเลือด ในกรณีที่ขาดน้ำยาหรือหาซื้อ ไม่ได้ ไม่ทัน ผู้สูบจะมีความต้องการนิโคติน จึงมีการสำรวจพบว่า ผู้เสพบุหรี่ไฟฟ้าต้องหาซื้อบุหรี่ธรรมดามาสูบแทนด้วยจึงกลายเป็น สูบทั้งสองอย่าง (Dual Smokers) ติดทั้งบุหรี่ธรรมดาและบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้ามีราคาสูง ทั้งตัวอุปกรณ์สูบและน้ำ สามารถทำกำไรให้ผู้ผลิตได้มากและกำลังสร้างความนิยมในกลุ่มวัยรุ่น เยาวชน เป็นอันตรายที่จะบั่นทอนคุณภาพชีวิตได้ในระยะยาว
“อยากให้ผู้บริหารและผู้มีอำนาจตัดสินใจทางนโยบาย รับทราบข้อมูลเหล่านี้เพื่อความรอบคอบในการพิจารณาด้วยเหตุด้วยผล เพราะการสูบบุหรี่ทำให้เกิดโรคต่างๆ ทั้งโรคทางเดินหายใจ หอบ หืด โรคหัวใจ โรคสมองอัมพาต โรคปลายแขน-ขาขาดเลือด ซึ่งล้วนเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องใช้งบประมาณและเวลาในการรักษาเป็นอย่างมาก ทำลายเศรษฐกิจ และสุขภาพของประชาชนมีสถิติการเสียชีวิตในประเทศไทยสูงถึงปีละไม่น้อยกว่า 50,000 คน จึงขอแนะนำหากผู้ต้องการเลิกสูบุหรี่และมีความปรารถนาดีต่อสุขภาพของตนเองและคนข้างเคียง ควรจะลด ละ เลิกการสูบบุหรี่ทั้งบุหรี่ธรรมดาและบุหรี่ไฟฟ้า บารากู่ หากต้องการความช่วยเหลือเลิกบุหรี่ สามารถติดต่อขอคำปรึกษาได้ที่ศูนย์บริการสาธารณสุข และคลินิกฟ้าใสทั่วประเทศ หรือสายด่วนเลิกบุหรี่ 1600 โทรฟรีทุกเครือข่าย” นพ.วันชาติกล่าว.-สำนักข่าวไทย