ผลสอบน้องเมย เสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลว

กองบัญชาการกองทัพไทย 15 ธ.ค.- ผลสอบ “น้องเมย”  ไม่ได้เสียชีวิตด้วยการถูกทำร้ายร่างกาย แต่เกิดจากหัวใจล้มเหลว พบก่อนเสียชีวิตตกบันได มีการเจ็บหน้าอกบ่อย ๆ เผยซี่โครงหักเพราะทำซีพีอาร์ช่วยชีวิต 4 ชั่วโมง ตามที่ผู้ปกครองร้องขอ  ย้ำไม่เชิญผู้ปกครองฟังแถลงผลสอบเพราะไม่ใช่คู่ขัดแย้ง ไม่หวั่นหากผลสอบแย้งกับหน่วยงานอื่น


เมื่อเวลา 11.00 น. พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหาร ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหาร ภัคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย แถลงสรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า ตามที่ พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการฯ 11 คน  ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ นตท.ภัคพงศ์ในช่วงเวลาก่อนเสียชีวิต  เพื่อหาสาเหตุที่อาจทำให้ นตท.ภัคพงศ์เสียชีวิต  จึงได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์แต่ละช่วงเวลาจำนวน 42 คน  มาให้ปากคำ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม

คือ 1.นักเรียนเตรียมทหาร 22 คน ประกอบด้วย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 3  จำนวน 13 คน  และนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 จำนวน 9 คน  2.แพทย์ 5 คน  ประกอบด้วย แพทย์จากกองแพทย์ทหาร โรงเรียนเตรียมทหาร จำนวน 3 คน  แพทย์โรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า 1 คน และแพทย์ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า 1 คน  3. ผู้ที่อยู่ในโรงเรียนเตรียมทหาร จำนวน 7 คน  ประกอบด้วย นายทหารปกครอง 4 คน  อาจารย์ประจำชั้น 1 คน  และครูพละ 2 คน    4.ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ จำนวน 8 คน ประกอบด้วย ผู้ช่วยนายทหารยกกระบัตร 1 คน  พลขับรถพยาบาล 2 คน  เวรประจำวันกองแพทย์ 3 คน  พนักงานบริการและเจ้าหน้าที่โรงเรียน 2 คน


พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้สอบถามข้อเท็จจริงในทุกเหตุการณ์อย่างละเอียด ผู้ให้ปากคำทุกรายมีความสมัครใจและทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบทางราชการ  เหตุการณ์ที่ 1  คือวันที่ 17 ตุลาคม 2560  ซึ่งเป็นวันที่ นตท.ภัคพงศ์เสียชีวิต  พบว่าในวันดังกล่าว นตท.ภัคพงศ์พักรักษาตัวอยู่ที่กองแพทย์โรงเรียนเตรียมทหาร  มีเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารที่ป่วยพักฟื้นร่วมที่กองแพทย์ 7 คน  โดยในเวลา 09.15 น. วันที่ 17 ตุลาคม  2560  นตท.ภัคพงศ์ได้เดินออกจากกองแพทย์พร้อมเพื่อนไปเอาของใช้ส่วนตัวที่อาคารกองพันที่ 2  จากภาพกล้องวงจรปิดที่อาคารกองพันพบว่า นตท.ภัคพงศ์แต่งกายชุดฝึกมือถือตะกร้าผ้า ซึ่งในวันดังกล่าวเป็นวันฝึกวิชาทหารของนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1  โดยขากลับมากองแพทย์ นตท.ภัคพงศ์เดินกลับมาคนเดียวเพราะเพื่อนกลับมาก่อน  

จากนั้นเวลา 10.23 น.  มีนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เดินออกจากกองแพทย์พบเห็นนตท.ภัคพงศ์กำลังวิ่งช้าๆ สวนทางกลับมากองแพทย์แล้วเป็นลมล้มลงคล้ายกับมีอาการ Hyperventilation (HV) ซึ่งนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 คนดังกล่าวทราบดี เพราะเคยเป็นมาก่อน จึงไปตามเจ้าหน้าที่กองแพทย์มาพาไปรักษาพยาบาลที่กองแพทย์  จนอาการกลับเป็นปกติและรักษาตัวอยู่ที่กองแพทย์   ในเวลา 12.00 น. จากการสอบถามเพื่อนที่ป่วยอยู่ด้วยกันระบุว่า นตท.ภัคพงศ์ไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหารกองแพทย์ได้ตามปกติ  ในเวลา 12.40 น.  ทางผู้บังคับกองพันที่ 2 เดินทางมาสอบถามอาการ และต่อโทรศัพท์ของตนเองให้ นตท.ภัคพงศ์พูดคุยกับมารดา

พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า  ต่อมาเวลา 15.13 น. นตท.ภัคพงศ์ได้พูดคุยกับผู้ปกครองโดยใช้โทรศัพท์สาธารณะ  จากภาพวงจรปิดพบว่าเมื่อโทรศัพท์เสร็จแล้วได้เดินกลับเข้าห้องพักฟื้นที่กองแพทย์  โดยมือขวากุมที่อกด้านซ้าย เป็นที่น่าสังเกตุว่าหลังเวลา 14.58 น.  นตท.ภัคพงศ์มีลักษณะการเดินใช้มือขวากุมอกด้านซ้ายอยู่บ่อยครั้ง  จากนั้นเวลา 16.00 น. นตท.ภัคพงศ์ได้พูดคุยปรับทุกข์กับเพื่อนสนิท  2 คน ว่ามีอาการเครียดสูง  ต่อมาเจ้าหน้าที่กองแพทย์ที่มีความคุ้นเคยกับ นตท.ภัคพงศ์และผู้ปกครองได้เข้ามาห้องพักฟื้นเพื่อนำโทรศัพท์มือถือมาให้ นตท.ภัคพงศ์ ใช้ติดต่อกลับหาบิดา  เนื่องจากบิดาโทรหาเจ้าหน้าที่กองแพทย์คนดังกล่าวและวานให้นำโทรศัพท์มือถือมาให้ นตท.ภัคพงศ์  


ซึ่งก่อนที่จะรับโทรศัพท์มือถือ นตท.ภัคพงศ์ได้เซและล้มลง  มีอาการเกร็งลักษณะ HV ที่มีอาการรุนแรง  เพราะเกร็ง หายใจแรงและถี่ พร้อมกับพ่นน้ำลายออกมาเป็นระยะต่อหน้าเพื่อน 4 คน มีการตามแพทย์มารักษา เห็นว่าอาการไม่ดีขึ้นจึงนำส่งโรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า  เวลา 16.30 น.  รถโรงพยาบาลมาถึงโรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า  แพทย์ได้ทำการปั้มหัวใจ นตท.ภัคพงศ์  แต่อาการไม่ดีขึ้น ทางแพทย์จึงได้แจ้งผู้ปกครองทราบ  ซึ่งผู้ปกครองขอให้แพทย์ปั้มหัวใจต่อเนื่องจนกว่าผู้ปกครองจะมาถึงโรงพยาบาลฯ  โดยผู้ปกครองมาถึงในเวลา 19.30 น.  รวมเวลา 4 ชั่วโมง ใช้เจ้าหน้าที่หมุนเวียนประมาณ 20 คน

ต่อมา 20.00 น. แพทย์จึงลงความเห็นว่าเสียชีวิต  พร้อมกับดำเนินการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้ปกครองได้ให้ความเห็นชอบในการชันสูตรโดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่โรงเรียนเตรียมทหารนำศพส่งสถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า  โดยศพของ นตท.ภคพงศ์ ถึงสถาบันพยาธิวิทยาเวลา 01.00น. วันที่ 18 ตุลาคม 2560  จากนั้นเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนทางการแพทย์ในการชันสูตรหาสาเหตุตายที่แท้จริง

พล.อ.อ.ชวรัตน์  กล่าวว่า จากการสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวผลการสอบผู้ที่เกี่ยวข้องและภาพจากกล้องวงจรปิด  ไม่ปรากฏว่าตลอดทั้งวันของวันที่ 17 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่ นตท.ภคพงศ์เสียชีวิตได้ถูกผู้หนึ่งผู้ใดลงโทษหรือถูกทำร้ายร่างกาย  โดยมีพยานให้ข้อมูลตรงกันว่าตลอดทั้งวัน  เว้นช่วงเป็นลมบริเวณทางขึ้นกองแพทย์โดยเฉพาะในช่วงบ่ายของวันที่ 17 ตุลาคม 2560  นตท.ภัคพงศ์สามารถพูดและเดินได้ปกติดีทุกอย่าง  เว้นแต่มีอาการเครียดสูงภายหลังจากโทรศัพท์พูดคุยกับทางผู้ปกครองและได้หมดสติไปเอง  ต่อหน้าพยานซึ่งล้วนเป็นเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 รุ่นเดียวกัน จึงเชื่อได้ว่าในวันที่ 17 ตุลาคม 2560  ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดลงโทษหรือทำร้ายร่างกาย นตท.ภัคพงศ์จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต  

พล.อ.อ.ชวรัตน์  กล่าวว่า  เหตุการณ์ที่ 2 จากการเล่าถึงเรื่องพบรอยฟกช้ำตามร่างกายจากการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ที่อาจเกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บและการฟกช้ำ   ได้ความว่าในวันที่ 10 ตุลาคม 2560 เวลาประมาณ 15.51 น. นตท.ภคพงศ์เสร็จจากการเรียนพละศึกษาที่ชั้น 2 อาคารกองพลศึกษา  ภาพจากกล้องวงจรปิดที่ได้เห็นภาพ นตท.ภคพงศ์วิ่งผ่านไปลงบันไดเพียงลำพัง  หลังจากเลิกเรียนเพื่อกลับไปที่กองพัน แต่ได้ลื่นเสียหลักจากพื้นอาคารชั้น 2  ตกมายังชานพักบันได ซึ่งมีบันได 8 ชั้น มีความสูงประมาณ 1.5 เมตร  

เพื่อนนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ที่ตามมาได้ยินเสียงจึงเข้าช่วยเหลือ  ขณะเดียวกันมีครูพละ 2 คนซึ่งอยู่ชั้นล่างได้เดินขึ้นมาดู  และพบว่า นตท.ภคพงศ์นอนตะแคงด้านซ้ายมือกุมหน้าอกเพื่อนและครูพละจึงร่วมให้การช่วยเหลือ  โดยตรวจการบาดเจ็บและสอบถามอาการ นตท.ภคพงศ์ ซึ่งได้ตอบว่ามีอาการจุกบริเวณหน้าอก  ครูพละและเพื่อนนักเรียนจึงใช้รถส่วนตัวของครูพาไปส่งที่กองแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย  ทางแพทย์ตรวจร่างกายภายนอกไม่พบบาดแผลและได้นำส่งโรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า  เพื่อตรวจหาอาการบาดเจ็บโดยละเอียดอีกครั้ง  ซึ่งผลการตรวจไม่พบบาดแผลภายนอก  เมื่อทำการเอ็กซเรย์ไม่พบว่ามีการบาดเจ็บภายใน  จึงให้กลับมาที่พักกองแพทย์  และในวันที่ 12 ตุลาคม 2560  นตท.ภคพงศ์ออกจากโรงเรียนกลับมาพักที่บ้านและทราบจากสื่อมวลชนว่าผู้ปกครองก็ได้นำไปตรวจซ้ำที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง โดยผลการตรวจไม่มีสิ่งผิดปกติและได้กลับเข้าโรงเรียนในเย็นวันที่ 15 ตุลาคม 2560

พล.อ.อ.ชวรัตน์  กล่าวว่า ในเหตุการณ์นี้  ข้อมูลที่ได้จากผู้เกี่ยวข้องและภาพจากกล้องวงจรปิดพบ  ว่านตท.ภคพงศ์ลื่นหล่นบันไดด้วยตนเอง  สาเหตุเพราะเร่งรีบลงบันไดกลับกองพัน  ทำให้มีอาการบาดเจ็บ ตรวจไม่พบบาดแผลบริเวณร่างกายหรือศีรษะ  มีการตรวจเอ็กซเรย์ที่โรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลตอมเกล้าและโรงพยาบาลภายนอกโดยผลการตรวจปกติ  

“จากทั้ง 2 เหตุการณ์คณะกรรมการฯ จึงสรุปได้ว่าการเสียชีวิตของ นตท.ภัคพงศ์ ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสั่งลงโทษหรือทำร้ายร่างกายอันจะเป็นเหตุให้เสียชีวิต และจากผลการตรวจของสถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้าฯ  สรุปผลในภาพรวมได้ว่าไม่พบร่องรอยที่ชัดเจนว่าถูกทำร้าย  ส่วนกรณีซี่โครงด้านขวาซี่ที่ 4หักนั้น  แพทย์ไม่ตัดประเด็นการปั้มหัวใจที่ต้องใช้แรงกดคลึงกระแทกและใช้เวลานานถึง 4 ชั่วโมง  ประกอบกับได้พบว่าเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจบางส่วนมีขนาดผิดปกติ และพบหย่อมการตายของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจเล็กน้อย  ซึ่งไม่ค่อยตรวจพบบ่อยนักในคนอายุ 18 ปี  ทางแพทย์จึงสรุปสาเหตุการเสียชีวิตของ นตท.ภคพงศ์ว่าเกิดจากหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน”พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าว

พล.อ.อ.ชวรัตน์  ยังชี้แจงด้วยว่า สรุปว่า เป็นโรคหัวใจมาก่อนหรือไม่ ไม่ทราบ เพราะ หากเป็นมาก่อนแต่มาตรวจพบก็ไม่น่าจะผ่านเข้ามาเรียนได้ รวมทั้งหากพบในช่วงที่เป็น นตท. ก็ต้องพ้นสภาพ  ทั้งนี้โรคหัวใจสามารถเป็นได้ แม้แต่นักกีฬาที่แข็งแรง  รวมทั้งที่ทราบว่ามีการตรวจรักษาก่อนหน้าที่จะเข้าเรียนเตรียมทหารหรือไม่  ส่วนประเด็นที่พูดคุยกับผู้ปกครองจนเกิดความเคลียดนั้น ทางคณะกรรมการไม่ทราบหัวข้อการสนทนา ทราบจากเพื่อนว่าคุยแล้วเครียด

ส่วนประเด็นพื้นที่ห้ามเดินผ่าน ที่มีในบันทึกของ  นตท.ภคพงศ์  พล.อ.ชวรัตน์ ชี้แจงว่า เรื่องพื้นที่ห้ามเดินผ่านมีทุกสถาบัน ที่จำกัดขอบเขตให้รู้ถึงสิทธิของตัวเอง  การเคารพสิทธิ์   เคารพกติกา ความรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง  ซึ่งการถูกซ่อม  นตท.  ภคพงศ์  เกิดจากในวันที่  16 ตุลา  2560  นักเรียนทั้งกองร้อยเดินแถวไม่เรียบร้อย จึงได้มีการลงโทษให้วิ่งรอบโรงอาหาร แต่ นตท.ภคพงศ์  และเพื่อนวิ่งตัดท้ายแถว จึงถูกให้กระโดดกบ  20 เมตร  และให้ทำการขอบคุณนักเรียนผู้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นประเพณีของนักเรียนเตรียมทหารที่จะต้องขอบคุณหลังจากถูกลงโทษ

แต่นตท.ภคพงศ์ ไม่พอใจ  นักเรียน ผู้บังคับบัญชาจึงให้พุ่งหลัง  ซึ่งเมื่อได้ทำไม่เกิน 2 นาที จึงฟลุ๊ค  หายใจถี่   และมือจีบ   จึงได้ส่งโรงพยาบาล  อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการสั่งลงโทษให้พุ่งหลัง ไม่น่าเกิดการปฏิบัติที่เกินกำลัง ประกอบกับในโรงเรียนเตรียมทหารมีป้ายแปะไว้ให้เห็นชัดเจนถึงท่าที่กำหนดให้ใช้ลงโทษได้ ซึ่งไม่รวมถึงท่าปักหัว  ซึ่งเป็นท่าห้ามในการใช้ลงโทษ

เมื่อถามว่า สาเหตุที่ไม่เชิญครอบครัวของ นตท.ภคพงศ์  มาร่วมรับฟังการแถลงพร้อมสื่อมวลชน  พล.อ.อ.ชวรัตน์  กล่าวว่า เราไม่ใช่คู่ขัดแย้ง  จึงไม่ต้องการตอบโต้กันไป-มา  แต่ที่ได้แถลงมาทั้งหมดจะมีการแจ้งให้กับผู้ปกครองได้รับทราบ อย่างไรก็ตาม หากผลการสอบสวนของคณะไปแย้งกับผลการตรวจสอบของหน่วยงานอื่น ๆ ก็เป็นการตรวจสอบของหน่วยงานนั้น ๆ

เมื่อถามว่าหากญาติไม่เชื่อว่าสมอง   หัวใจ  และดีเอ็นเอ  เป็นของนตท.ภคพงศ์  พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า เราไม่ได้เป็นคนเก็บรักษา ต้องไปสอบถามสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เอง ไม่เกี่ยวกับกองทัพไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการแถลงผลการสอบสวนวันนี้ ใช้เวลา กว่า 1 ชั่วโมง พร้อมเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้สอบถามอย่างละเอียด โดยมีสื่อจากทุกแขนงเข้ารับฟังการสอบสวน.-สำนักข่าวไทย       

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

สั่งหยุดก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง พื้นที่เกิดเหตุถนนทรุด

กรุงเทพ 24 ก.ย.- รฟม. สั่งการให้หยุดก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงในพื้นที่เกิดเหตุ หลังเกิดเหตุถนนทรุดตัว บริเวณหน้าทางเข้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ถนนสามเสน ตามที่เกิดเหตุพื้นถนนทรุดตัว บริเวณหน้าทางเข้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ถนนสามเสน ใกล้เคียงกับจุดก่อสร้างทางขึ้น-ลงที่ 4 สถานีวชิรพยาบาล (PP19) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน – ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 กันยายน 2568 นั้น นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้แจ้งให้นางมัลลิกา จิระพันธุ์วานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ ร่วมกับนายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อกำกับดูแลการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด โดยในเบื้องต้น ผู้ว่าการ รฟม. พร้อมด้วยผู้อำนวยการโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงฯ และทีมงาน ได้สั่งการให้หยุดการก่อสร้างบริเวณพื้นที่เกิดเหตุในทันที เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ พร้อมทั้งปิดกั้นพื้นที่ก่อสร้างบางส่วน และอพยพประชาชนโดยรอบออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย รฟม. ได้ประสานหน่วยงานสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้อง ทั้งการประปานครหลวง การไฟฟ้านครหลวง บริษัทโทรคมนาคม และตำรวจในพื้นที่ เพื่อเร่งแก้ไขสถานการณ์ รวมถึงจัดการจราจรในพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้สัญจร ทั้งนี้ […]

วชิรพยาบาลปิดรับผู้ป่วยนอก 2 วัน เหตุถนนทรุดไม่กระทบอาคาร

24 ก.ย.- คณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ยันตัวอาคารโรงพยาบาลไม่ได้รับผลกระทบ ขอปิดรับผู้ป่วยนอก 2 วัน รับกังวลการมาทำงานของเจ้าหน้าที่ เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ผศ.นพ.จักราวุธ มณีฤทธิ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล กล่าวถึงกรณีการทรุดตัวลงของพื้นผิวถนนหน้าโรงพยาบาลวิชรพยาบาลว่า ตัวของโรงพยาบาลไม่มีผลกระทบอะไรเลย เพราะด้านหน้ามีกำแพงกั้นดินที่ลึกถึง 60 เมตร และตัวอาคารทีปังกรฯ มีกำแพงอยู่ แต่เพื่อความไม่ประมาทและการจราจรก็มีปัญหาจึงได้หยุดให้บริการตึกผู้ป่วยนอกเป็นเวลา 2 วัน และตึกดังกล่าวไม่ได้มีการอพยพผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยทั้งหมดในตึกนั้นเป็นผู้ป่วยนอกจึงไม่จำเป็นที่จะต้องอพยพ ทั้งนี้ หากมีเหตุจำเป็นและเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินทางโรงพยาบาลยังเปิดให้บริการอยู่ ตอนนี้เราเป็นห่วงในเรื่องของการจราจรส่วนอาคารนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร ในส่วนของการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยก็ยังสามารถใช้ประตูอื่นบริเวณโดยรอบโรงพยาบาลได้ ส่วนที่เรากังวลคือการเดินทางมาทำงานของเจ้าหน้าที่ภายในโรงพยาบาล. -สำนักข่าวไทย

น้ำท่วมแม่แจ่มยังวิกฤติ

เชียงใหม่ 24 ก.ย.- “อำเภอแม่แจ่ม” น้ำท่วมยังวิกฤติ หลังฝนตกหนักบนดอย เช้านี้ลำน้ำแม่แจ่มเพิ่มระดับสูงขึ้นอีกครั้ง เตือนหมู่บ้านท้ายน้ำเตรียมรับมวลน้ำจากน้ำแม่หยอด-น้ำแม่แจ่ม ที่จะไหลมาสมทบกัน ขอให้อพยพกลุ่มเปราะบางและขนย้ายสิ่งของไว้บนที่สูง ภาพจากกล้องวงจรปิดเวลาตลาดสดเทศบาลแม่แจ่ม เช้านี้ (24 กันยายน 2568) ยังคงมีมวลน้ำจากลำน้ำแม่แจ่มไหลเอ่อเข้าท่วมถนนและในตลาดสดเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ หลังน้ำที่ท่วมเมื่อวานนี้เริ่มลดลง แต่เมื่อช่วงเช้ามืดวันนี้น้ำเพิ่มสูงขึ้น ทำให้น้ำที่ท่วมถนนหน้าที่ว่าการอำเภอแม่แจ่ม และบ้านเรือนของชาวบ้านในตำบลช่างเคิ่ง และตำบลท่าผา บางจุดท่วมสูง 70- 80 เซนติเมตร นายเกรียงศักดิ์ บุญตาปวน นายอำเภอแม่แจ่มให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่าขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมยังหนักอยู่ เนื่องจากมีน้ำจากบนดอยเติมมาตั้งแต่ช่วงตี 5 ของวันนี้ หลังน้ำที่ท่วมเมื่อวานนี้ลดลงในช่วงค่ำ แต่มีมวลน้ำมาเติมอีกระลอก น้ำที่ไหลมาท่วมวันนี้ถือว่าหนักกว่าเมื่อวานเพราะไหลมาจากอำเภอกัลยานิวัฒนา ซึ่งขณะนี้ทางอำเภอยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้ว่าน้ำจะเริ่มลดระดับลงเมื่อไหร่ถ้าหากฝนบนดอยยังตกมาเรื่อยๆ โดยน้ำท่วมครั้งนี้มีชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนกว่า 700 หลังคาเรือน กระทบกว่า 3,000 คน โดยมีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักและต้องการความช่วยเหลือด่วน คือตำบลแม่นาจร สะพานไม้ขาด ถนนพัง ขณะนี้ทางผู้นำท้องถิ่นช่วยกันดูแลอยู่ อย่างไรก็ตามในส่วนของอำเภอแม่แจ่มและหน่วยงานส่วนราชการนั้น ระดมกำลังช่วยเหลือชาวบ้านกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุ รวมทั้งได้ตั้งโรงครัวนำอาหารและน้ำดื่มแจกจ่ายให้ผู้ประสบภัย จัดตั้งศูนย์อพยพไว้ที่อำเภอและเทศบาลต่างๆ แต่ขณะนี้ชาวบ้านยังไม่มีการอพยพแต่อย่างใด เนื่องจากยังมีไฟฟ้าใช้ตามปกติและยังมีอาหารเพียงพอ มีเพียงบางส่วนที่ไปอาศัยบ้านญาติอยู่ชั่วคราว ข้อมูลจากสำนักงานป้องกันสาธารณภัยจังหวัดเชียงใหม่รายงานเมื่อวันที่ 23 […]

ถนนทรุดตัวเป็นหลุมกว้างหน้าวชิรพยาบาล แนะเลี่ยงเส้นทาง

24 ก.ย.- ถนนทรุดตัวเป็นหลุมกว้างบริเวณหน้าวชิรพยาบาล จนท.เร่งเคลื่อนย้ายผู้ป่วย-ประชาชนใกล้เคียง ออกนอกพื้นที่เสี่ยง แจ้งเตือนหลีกเลี่ยงเส้นทางอาจเป็นอันตรายต่อผู้สัญจร ช่วงประมาณ 07.13 น. ศูนย์วิทยุพระราม199 รางานเหตุถนนทรุดตัวเป็นบริเวณกว้างใกล้เคียงอาคารของโรงพยาบาลวชิรพยาบาล เจ้าหน้าที่สถานีดับเพลิงและกู้ภัยสามเสน ถึงที่เกิดเหตุ ลักษณะที่เกิดเหตุเป็นถนนทรุดตัวขนาดใหญ่ เป็นหลุมกว้าง 30 x 30 เมตร ลึก 50 เมตร ทรุดตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งบริเวณหน้าโรงพยาบาลและหน้าสถานีตำรวจสามเสน เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและประชาชนใกล้เคียง ออกจากจุดที่เกิดเหตุ ล่าสุดสำนักงานเขตดุสิต แจ้งปิดการจราจรแยกวชิรพยาบาล – แยกซังฮี้ และบริเวณใกล้เคียงโดยรอบ เนื่องจากเหตุผิวจราจรทรุดตัวส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณูปโภคโดยรอบ และอาจเป็นอันตรายต่อผู้สัญจรใกล้เคียงได้ -สำนักข่าวไทย