นนทบุรี 8 ธ.ค. – กฟผ.แจงภาคใต้ต้องมีโรงไฟฟ้าหลัก จะเป็นถ่านหินหรือก๊าซขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล พร้อมโชว์เคสพื้นที่ป่าปลูกนาข้าวติดโรงไฟฟ้าบางกรวย ยืนยันโรงไฟฟ้าอยู่คู่กับชุมชนและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้
นายกรศิษฏ์ ภัคโชตานนท์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาและกระบี่จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ภาคใต้ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงกว่าภาคอื่น เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ขณะที่โรงไฟฟ้าในภาคใต้ไม่เพียงพอมีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองต่ำกว่ามาตรฐาน จึงจำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าหลักในพื้นที่จะเป็นถ่านหิน หรือก๊าซธรรมชาติ โดยขณะนี้โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้ง 2 แห่งล่าช้า ทาง กฟผ.ต้องปรับแผนเร่งการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าไปภาคใต้
ในวันนี้ (8 ธ.ค.) กฟผ.ได้จัดงานเกี่ยวข้าวในแปลงนาสาธิต เพื่อการเรียนรู้ศาสตร์พระราชาในพื้นที่โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ จ.นนทบุรี โดยมีนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ร่วมเกี่ยวข้าว ซึ่งนายศิริ กล่าวว่า พื้นที่นาและพื้นที่ปลูกป่าแห่งนี้เป็นข้อพิสูจน์เรื่องโรงไฟฟ้าที่อยู่คู่กับชุมชนและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้ โดยน้ำที่ใช้ปลูกข้าวนั้นเป็นน้ำที่มาจากบ่อพักน้ำที่ผ่านการใช้งานจากหอหล่อเย็นโครงการปลูกข้าวเป็นไปตามกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” หนึ่งในกิจกรรมสืบสานพระราชปณิธาน ในหลวงรัชกาลที่ 9 พันธุ์ข้าวหลักที่ปลูกเป็นข้าวปทุมธานี 1 ให้ผลผลิตไม่น้อยกว่า 400 กิโลกรัม/ไร่
นายสหรัฐ บุญโพธิภักดี รองผู้ว่าการพลังงานหมุนเวียนและพลังงานใหม่ กฟผ. กล่าวว่า ภาคใต้มีกำลังผลิตสำรองต่ำกว่ามาตรฐานความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ทำให้จำเป็นต้องเพิ่มกำลังผลิตแบบเสถียรจากโรงไฟฟ้าหลัก เพื่อดูแลความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในภาพรวม ส่วนพลังงานหมุนเวียนมีส่วนช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล แต่ยังคงมีปัญหาเรื่องความไม่มั่นคง เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ มีข้อจำกัดไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ในช่วงกลางคืน พลังงานชีวมวล สามารถผลิตไฟฟ้าได้เฉพาะบางฤดูกาลเท่านั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณผลผลิตทางการเกษตรและราคาของผลผลิตเป็นหลัก จึงต้องมีกำลังผลิตสำรองจากโรงไฟฟ้าพลังงานหลักเสริมการจ่ายไฟฟ้า (Backup) ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และการจะทำให้พลังงานหมุนเวียนมีความมั่นคง สามารถจ่ายไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง ควบคุมและสั่งการได้เทียบเท่ากับโรงไฟฟ้าหลักนั้น จำเป็นจะต้องมีการลงทุน ติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมด้วยวิธีการต่าง ๆ ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าหลัก ภายใต้เทคโนโลยีปัจจุบัน จึงยังไม่สามารถใช้ทดแทนพลังงานหลักได้
“การเลือกใช้พลังงานหมุนเวียนแต่ละประเภทต้องสอดคล้องกับลักษณะการใช้ไฟฟ้าด้วย เช่น ภาคใต้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีความต้องการไฟฟ้าสูงในช่วงกลางคืน การส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ปริมาณมาก ๆ ช่วยเสริมกำลังการผลิตไฟฟ้าได้ในช่วงกลางวัน โรงไฟฟ้าพลังงานหลักที่ผลิตได้กลางวันและกลางคืน 24 ชั่วโมง จึงยังจำเป็นควบคู่กันในสัดส่วนที่เหมาะสม ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในปัจจุบัน เพื่อให้สามารถจ่ายไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง ระบบไฟฟ้ามั่นคง ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน” โฆษก กฟผ. กล่าว
สำหรับนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในภาคใต้นั้น กระทรวงพลังงานและ กฟผ.มีการส่งเสริมสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในภาคใต้มาตลอด โดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีการเปิดรับซื้อแล้วมากกว่า 730 เมกะวัตต์ และล่าสุดมีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในภาคใต้อีก 100 เมกะวัตต์ ดังนั้น จะเห็นได้ว่ากระทรวงพลังงานมีนโยบายในการจัดหาไฟฟ้าทั้งจากโรงไฟฟ้าหลักและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เพื่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ
ส่วนต่อประเด็นการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าเทพา จ.สงขลานั้น โฆษก กฟผ. กล่าวต่อไปว่า ได้มีการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) แบ่งเป็น 2 รายงาน คือ โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาและโครงการท่าเทียบเรือเทพาตามข้อกำหนดของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ที่ต้องแยกการพิจารณาตามคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) เป็น 2 คณะ ประกอบด้วย คชก. ด้านโรงไฟฟ้าพลังความร้อน พิจารณาโครงการโรงไฟฟ้าเทพา และ คชก. ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางน้ำ พิจารณาโครงการท่าเทียบเรือเทพา
ส่วนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน กฟผ. ได้ดำเนินการตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วยการจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย จำนวน 3 ครั้ง ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ครั้งที่ 1 เพื่อกำหนดขอบเขตและแนวทางการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จัดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2557 มีผู้เข้าร่วม 3,860 คน ครั้งที่ 2 เพื่อรับฟังความคิดเห็นในขั้นตอนการประเมินและจัดทำร่างรายงาน EHIA เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2558 มีผู้เข้าร่วมประชุมกลุ่มย่อย 708 คน และมีการสำรวจความคิดเห็นของหน่วยงานราชการ ผู้นำชุมชน ครัวเรือน ด้วยแบบสอบถาม จำนวน 1,461 ตัวอย่าง และครั้งที่ 3 เพื่อทบทวนร่างรายงาน EHIA เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2558 มีผู้เข้าร่วมจำนวน 6,498 คน
โครงการท่าเทียบเรือเทพา ครั้งที่ 1 เพื่อกำหนดขอบเขตและแนวทางการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จัดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2557 มีผู้เข้าร่วม 3,805 คน ครั้งที่ 2 เพื่อรับฟังความคิดเห็นในขั้นตอนการประเมินและจัดทำร่างรายงาน EHIA เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2558 มีผู้เข้าร่วมประชุมกลุ่มย่อย 708 คน และมีการสำรวจความคิดเห็นของหน่วยงานราชการ ผู้นำชุมชน ครัวเรือน ด้วยแบบสอบถาม จำนวน 1,433 ตัวอย่าง และครั้งที่ 3 เพื่อทบทวนร่างรายงาน EHIA เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 มีผู้เข้าร่วมจำนวน 6,121 คน นอกจากนี้ กฟผ.ยังได้ชี้แจงสร้างความเข้าใจแก่ชุมชนอย่างต่อเนื่องอย่างกว้างขวาง ไม่จำกัดเฉพาะรัศมี 5 กิโลเมตร จากที่ตั้งโรงไฟฟ้า ตามที่ สผ. กำหนด
ทั้งนี้ กฟผ.ได้ใช้เวลาในการศึกษาและจัดทำรายงาน EHIA โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาประมาณ 1 ปี จากนั้น คชก.ได้ใช้เวลาในการพิจารณารายงาน EHIA อย่างรอบคอบอีกถึง 1 ปี 10 เดือน รวมเป็นเวลาเกือบ 3 ปี คชก.จึงได้พิจารณาเห็นว่าข้อมูลในรายงานฉบับดังกล่าวมีความครบถ้วน ซึ่งจากนี้จะได้มีการนำรายงานฉบับสมบูรณ์เสนอต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) อีกครั้ง ก่อนจะนำเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) เพื่อประกอบการพิจารณาของ ครม. ตามขั้นตอนต่อไป.-สำนักข่าวไทย