กรุงเทพฯ 2
พ.ย. –กสิกรไทยประเมิน สัปาดาห์หน้า ค่าเงินเคลื่อนไหว 32.50-32.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลัง สัปดาห์ที่ผ่านมา แข็งค่าสุดในรอบ 31
เดือน ขณะที่ ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้แรงหนุนจาก LTF/RMF เข้ามาช่วยประคองตลาด
บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย
จำกัด รายงานว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 31 เดือนใกล้ๆ ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ก่อนอ่อนค่าลงเล็กน้อยช่วงปลายสัปดาห์ โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ท่ามกลางแรงกดดันเงินดอลลาร์ฯ
จากความไม่แน่นอนของแผนปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี
เงินบาททยอยลดช่วงบวกลงในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ สวนทางเงินดอลลาร์ฯ
ที่กลับมาได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีเกินคาด เช่น
จีดีพีไตรมาส 3 ที่มีการปรับทบทวนเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ
ก่อนผลการพิจารณาแผนปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ ของวุฒิสภา
สำหรับในวันศุกร์ (1 ธ.ค.) เงินบาทอยู่ที่ 32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เทียบกับระดับ 32.68 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (24 พ.ย.)
ด้านดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแรงหนุนจาก
LTF/RMF เข้ามาช่วยประคองตลาดโดยดัชนี
SET ปิดที่ระดับ 1,699.65 เพิ่มขึ้น 0.22%
จากสัปดาห์ก่อน มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลงประมาณ 0.07% จากสัปดาห์ก่อน
มาที่ 53,348.95 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ mai ปิดที่ 544.70 จุด ลดลง 1.66% จากสัปดาห์ก่อน
ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้รับแรงหนุนเกือบตลอดสัปดาห์จากกลุ่มนักลงทุนสถาบัน
เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลซื้อกองทุน LTF และ
RMF ช่วงปลายปี อย่างไรก็ดี ในขณะเดียวกัน ดัชนี SET
ยังคงเผชิญกับแรงขายทำกำไรของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
ก่อนที่จะมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมเข้ามาหนุนตลาดในช่วงปลายสัปดาห์ จากการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยไตรมาส
4 จะออกมาดี
ประกอบกับการขยายระยะเวลาปรับลดกำลังผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันโอเปก
สำหรับสัปดาห์ถัดไป
(4-8 ธ.ค.) ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 32.50-32.80
บาทต่อดอลลาร์ฯ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า
ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,690 และ 1,680 จุด ขณะที่
แนวต้านอยู่ที่ 1,715 และ 1,730 จุด
ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คงได้แก่ ความคืบหน้าแผนปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย. ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่
ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ย.
ของจีน และข้อมูลจีดีพีไตรมาส 3/2560 ของญี่ปุ่น–สำนักข่าวไทย