ทำเนียบฯ 1 ธ.ค.-“พล.อ.ฉัตรชัย-กอบศักดิ์” เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล ในโอกาสเข้าปฎิบัติหน้าที่วันแรก รอนายกรัฐมนตรีพิจารณาแบ่งงานรับผิดชอบ
เมื่อเวลา 06.50 น. พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้ามาปฎิบัติหน้าที่ที่ทำเนียบรัฐบาลเป็นวันแรกใน ครม.ประยุทธ์ 5 ภายหลังเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณรับหน้าที่ เมื่อวานนี้ พร้อมเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาลด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม โดยถือฤกษ์สะดวกในการเข้าทำงาน
พลเอกฉัตรชัย เปิดเผยว่า ถือเป็นมงคลกับรัฐมนตรีทุกคน โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสแก่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ให้ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต งานหลายอย่างเป็นเรื่องที่ต้องดูแลประชาชน ซึ่งประชาชนก็คาดหวังอยากเห็นความสุขที่เกิดขึ้น ซึ่งปัญหาในการทำงานย่อมมีเป็นปกติ ขอให้ทุกคนได้ใช้ความรู้ความสามารถ ความอดทน ในการทำงานอย่างมุ่งมั่นให้ประสบความสำเร็จ ส่วนการดูแลรับผิดงานทางด้านใดนั้น นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้พิจารณา ซึ่งพร้อมปฏิบัติหน้าที่ ส่วนได้มีการมอบหมายฝากงานให้รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์คนใหม่หรือไม่นั้น เชื่อว่ารัฐมนตรีใหม่คงมีแนวทางในการทำงาน ซึ่งตอนปีแรกตนเป็นรัฐมนตรีคนเดียวที่ดูแล ตอนนี้มี 3 คน เชื่อว่างานจะไปได้ดี
นอกจากนี้ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เข้าทำงานวันแรกด้วยเช่นกัน พร้อมระบุ ไม่หนักใจในการทำงานเนื่องจากทำงานด้านนี้อยู่แล้ว แต่มองเป็นความท้าทายที่ต้องทำงานในช่วงเวลาสั้นๆ ให้สำเร็จภายใน 1 ปี ซึ่งก็มีทีมงานที่ดีอยู่แล้วเชื่อว่าทุกคนจะช่วยกันให้ปีนี้เป็นปีที่สำคัญในการทำเรื่องปฏิรูปให้พี่น้องประชาชน ส่วนการดูแลงานด้านใดนายกรัฐมนตรียังไม่ได้มอบหมายแต่คิดว่า คงจะมอบหมายงานด้านเศรษฐกิจบางส่วนให้ดูแล อาทิ งานสภาพัฒน์ซึ่งมีหลายอย่างที่จะช่วยได้ในด้านเศรษฐกิจ
ทั้งนี้การเข้ารับตำแหน่งใหม่ครั้งนี้ ไม่รู้สึกตื่นเต้น เนื่องจากทำงานที่ทำเนียบมา 2 ปี แล้ว และจะใช้โอกาสนี้ขับเคลื่อนงานให้ดีขึ้นจากเดิม ซึ่งคิดว่าพี่น้องประชาชนกำลังรอให้ดูแลในหลายเรื่อง เช่น ปัญหาคนยากจนที่อยู่ฐานราก รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยสำหรับลูกหลานของเรา ซึ่งจะใช้เวลา 1 ปี ทำงานในเรื่องนี้อย่างเต็มที่
การถวายสัตย์ปฏิญาณรับหน้าที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสให้น้อมนำสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่9 ทำเป็นแบบอย่างไว้ ให้นำไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งตนมองว่าในหลวงรัชกาลที่9 เป็นกษัตริย์นักพัฒนาและเห็นช่องทางการพัฒนาประเทศไทยอย่างแท้จริง โดยมองว่าเราไม่ได้มุ่งเน้นที่ชนบท พี่น้องประชาชน การพัฒนาที่เข็มแข็งของหมู่บ้าน ตำบล จังหวัด อย่างแท้จริง มัวมุ่งเน้นที่บริษัทขนาดใหญ่ พื้นที่อุตสาหกรรม การก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเมืองหลวง ทำให้ 30-40 ปีที่ผ่านมา มีการเติบโตเฉพาะกรุงเทพมหานคร ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีในการน้อมนำพระราชดำรัส ในการพัฒนาตามลำดับขั้น สร้างความกินอยู่ที่ดีของประชาชนก่อน หลังจากนั้นจะนำไปสู่การพัฒนาที่แท้จริงต่อไป พร้อมย้ำไม่หนักใจในการทำงาน เนื่องจากขณะนี้มีข้อเสนอและแผนรองรับทั้งหมดแล้ว ในเรื่องการปฏิรูปเศรษฐิจ ที่เหลือเพียงการขับเคลื่อนที่แท้จริงเท่านั้น.-สำนักข่าวไทย