สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 26 พ.ย ปี 2561 สปสช. รุกดูแลผู้ป่วยธาลัสซีเมีย บรรจุนวัตกรรมยา “ดีเฟอร์ราซิร็อก” ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงยาขับเหล็กเพิ่มครอบคลุม 1.5 หมื่นราย
นพ.ชูชัย ศรชำนิ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ผู้ป่วยโรคเลือดธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง หรือที่เรียกว่าชนิดพึ่งพาเลือด ในประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยประมาณ 600,000 คน ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องได้รับเลือดอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็ก การให้เลือดและดูแลรักษาต่อเนื่องจะทำให้มีการเจริญเติบโตปกติ ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน แต่การให้เลือดอย่างต่อเนื่องมีผลต่อผู้ป่วย ทำให้เกิดภาวะธาตุเหล็กที่เกินความต้องการของร่างกาย ก่อให้เกิดผลร้ายแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ ได้ เช่น ตับแข็ง ภาวะเบาหวาน และหัวใจวายได้ ดังนั้นในกระบวนการรักษาต่อเนื่องอย่างมีคุณภาพและความปลอดภัยแก่ผู้ป่วยโรคเลือดธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงจึงต้องได้รับยาขับธาตุเหล็ก
ในอดีตผู้ป่วยโรคเลือดธาลัสซีเมียส่วนใหญ่จะได้รับยาขับเหล็กชนิดฉีด ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังโดยใช้เครื่องช่วยฉีดยา 8–12 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลให้เด็กไม่ยอมรับการรักษาสม่ำเสมอเพราะต้องเจ็บปวดจากการฉีดยาและกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยในกลุ่มเด็กไม่สามารถดำรงชีวิตเหมือนเด็กคนอื่นได้ เช่น ไปโรงเรียน วิ่งเล่นกับเพื่อน เป็นต้น ด้วยพัฒนาการทางเทคโนโลยีจากการพัฒนายาดีเฟอริโพรน (Deferiprone) ซึ่งเป็นยาขับเหล็กชนิดกิน โดยองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ทำให้ราคายาถูกลง ดังนั้นบอร์ด สปสช. จึงกำหนดให้สิทธิประโยชน์การรักษาโรคเลือดธาลัสซีเมียครอบคลุมยาดีเฟอริโพรน ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ตามผู้ป่วยโรคเลือดธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงมีส่วนหนึ่งที่มีภาวะแพ้ยาดีเฟอริโพรน มีผลข้างเคียงให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดข้อ การทำงานของตับผิดปกติ และระดับเอ็มไซม์ในตับเพิ่มขึ้น ทำให้แพทย์ต้องงดให้ยา ทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะธาตุเหล็กเกิน ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องได้รับยาดีเฟอร์ราซิร็อก (Deferasirox) ซึ่งเป็นนวัตกรรมยาที่มีราคาแพงกว่ามากแทนและต้องกินประจำทุกวัน ที่ผ่านมาจึงทำให้ผู้ป่วยธาลัสซีเมียกลุ่มนี้เข้าไม่ถึงการรักษาและทุกข์ทรมานจากภาวะความเจ็บป่วย
ในปี 2561 นี้ บอร์ด สปสช.จัดสรรงบประมาณ 250 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 เพื่อบรรจุนวัตกรรมยาดีเฟอร์ราซิร็อกภายใต้สิทธิประโยชน์ดูแลผู้ป่วยธาลัซเมีย ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ที่ส่วนใหญ่เป็นเด็กเข้าถึงการรักษาที่จำเป็นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และขยายความครอบคลุมการเข้าถึงการให้เลือดสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ โดยตั้งเป้าดูแลผู้ป่วยในระบบจำนวน 15,000 คน
“จากการดำเนินสิทธิประโยชน์ดูแลผู้ป่วยโรคเลือดธาลัสซีเมีย ส่งผลให้มีผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2557 มีผู้ป่วยธาลัสซีเมียในระบบจำนวน 4,532 ราย ปี 2558 เพิ่มเป็น 9,835 ราย และในปี 2560 เพิ่มเป็นจำนวน 11,439 คน และการขยายการเข้าถึงยาดีเฟอร์ราซิร็อกและการให้เลือดกับผู้ป่วย ซึ่งบอร์ด สปสช.ได้อนุมัติสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในปี 2561 นี้ จะช่วยให้ผู้ป่วยธาลัสซีเมียเข้าถึงการรักษาเพิ่มขึ้น” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว
นพ.ชูชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงเป็นกลุ่มที่ต้องดูแลต่อเนื่อง จึงส่งผลต่อภาระค่ารักษาพยาบาล ที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเข้าถึงการรักษา โดยในผู้ป่วยเด็ก 1 ราย จะมีค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ย 10,500 บาทต่อเดือน หากรวมตลอดอายุของเด็กจะมีค่าใช้จ่ายในการรักษาประมาณ 6,600,000 ล้านบาทต่อคน ทั้งนี้จากแนวคิดใหม่ขององค์การอนามัยโลกที่กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goal) ที่ให้ลงทุนในระบบสุขภาพเพื่อสุขภาพที่ดีและอยู่ดีมีสุข (Health and Well-being) สปสช.ได้นำมาดำเนินการในโรคเลือดธาลัสซีเมีย โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง.-สำนักข่าวไทย