แพทย์ชี้หยุดวิ่งกะทันหัน เสี่ยงอันตราย

แพทย์ชี้หยุดวิ่งกะทันหัน เสี่ยงอันตราย



หลังจากที่มีกระแสดราม่าที่มีประชาชนวิ่งเข้าไปหาและขอถ่ายรูปเซลฟี่กับ ตูน
บอดี้สแลม
” อาทิวราห์ คงมาลัย ระหว่างทางที่วิ่งในโครงการ ก้าวคนละก้าว
เพื่อ
11 โรงพยาบาลทั่วประเทศว่าอาจจะทำให้เกิดอันตรายกับ
ตูนได้
เนื่องจากจะต้องหยุดวิ่งแบบกะทันหัน วันนี้ทีมข่าว
NewMedia ได้สอบถามความเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของสุขภาพและการกีฬามาฝาก



นายแพทย์ภาสกร ชัยวานิชศิริ
รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
บอกว่า
การวิ่งเข้าไปเพื่อขอถ่ายรูปเซลฟี่กับ
ตูน บอดี้สแลมที่กำลังวิ่งอยู่นั้น
ไม่ถือว่าเป็นอันตรายมาก เพราะการวิ่งของ
ตูนเป็นการวิ่งแบบมาราธอน
ที่วิ่งมาด้วยความเร็วคงที่ ไม่ได้วิ่งด้วยความเร็วมากจนเกินไป
ซึ่งการวิ่งในลักษณะนี้ผู้วิ่งจะต้องมีการเตรียมพร้อมของร่างกายมาเป็นอย่างดี ต้องมีการสะสมพลังงานให้เพียงพอ ตามหลักวิชาการแล้ว
การหยุดวิ่งแบบทันทีมีความเสี่ยงให้เกิดอันตรายได้
ซึ่งร่างกายเปรียบเหมือนเครื่องจักรที่ต้องมีการหยุดพัก หยุดซ่อมแซม
เพราะการวิ่งระยะทางไกลที่ต้องใช้เวลาหลายวันแบบนี้ มีโอกาสที่จะเกิดกล้ามเนื้อ หรือเส้นเอ็นบาดเจ็บได้ จึงควรที่จะต้องมีการหยุดพักเพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมบ้าง



ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยาการกีฬา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ถาวร กมุทศรี
อาจารย์ประจำวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล
อธิบายว่า โดยหลักการ ขณะที่คนเรากำลังวิ่งอยู่นั้น ร่างกายและระบบต่างๆ เช่น
ระบบกล้ามเนื้อ ระบบหัวใจ และระบบการไหลเวียนโลหิต จะมีการทำงานไปด้วย
ดังนั้น การหยุดวิ่งแบบกะทันหัน จะทำให้ระบบต่างๆ หยุดกะทันหันเช่นกัน
และอาจเป็นผลเสียกับร่างกายได้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วการจะหยุดวิ่งนั้น
จะต้องมีการค่อยๆ ลดระดับความเร็วลงเป็นระยะๆ เห็นได้จากนักกีฬาที่แข่งขันในรายการต่างๆ
เวลาเขาวิ่งเข้าสู่เส้นชัยแล้ว เขาก็จะยังคงมีการวิ่งแบบเบาๆ ต่อไปอีกระยะหนึ่ง
เพื่อให้ร่างกายและระบบต่างๆ ได้มีการปรับตัว
                     



















แต่สำหรับกรณีของ ตูน
บอดี้สแลม
” เชื่อว่าเขาได้มีการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีสำหรับการวิ่งในครั้งนี้ และการวิ่งของเขาไม่ได้เป็นการวิ่งด้วยอัตราความเร็วมาก
จึงทำให้ร่างกายและระบบต่างๆ ไม่ได้ทำงานหนักจนเกินไป
ซึ่งการวิ่งแบบนี้ถือว่าเป็นการช่วยถนอมร่างกายให้กับเขาได้อีกวิธีหนึ่ง
รวมทั้งบรรยากาศตลอดเส้นทางที่เขาวิ่งผ่านก็มีประชาชนมาคอยให้กำลังใจเป็นระยะ
ทำให้สภาพจิตใจของ
ตูน” ไม่ได้เคร่งเครียด
เพราะภาวะของความเครียดถือเป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้ร่างกายทำงานหนักได้
และอีกตัวแปรหนึ่งที่สำคัญที่จะทำให้ร่างกายทำงานหนัก
นั่นคือสภาพอากาศในขณะที่วิ่ง หากสภาพอากาศค่อนข้างเย็นมีฝนตก
การระเหยของเหงื่อจะทำได้ไม่ดี จึงทำให้ผู้วิ่งรู้สึกอึดอัดและเหนื่อยมากกว่าสภาพอากาศที่อบอุ่น 

 

 

การวิ่งของ “ตูน” ครั้งนี้ถือว่าเป็นงานที่ยากมาก
และผิดกับหลักการทางวิชาการ
แต่เชื่อและคอยเป็นกำลังใจให้เขาสามารถวิ่งไปได้ถึงจุดหมายปลายทาง
ซึ่งสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ เมื่อเขาวิ่งถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เขาจะต้องรับการตรวจสภาพร่างกายและระบบต่างๆ ในร่างกายอย่างละเอียด
เนื่องจากการวิ่งที่สะสมเป็นเวลายาวนานต่อเนื่อง
อาจจะทำให้เกิดผลเสียกับร่างกายได้ตามมาได้
ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยาการกีฬา
กล่าว
 

 สำหรับประชาชนทั่วไปที่ต้องการจะเข้าร่วมวิ่งกับ
ตูน บอดี้สแลมนั้น
นายแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยา แนะนำว่า ควรเตรียมความพร้อมของร่างกายให้ดี
มีการพักผ่อนและรับประทานอาหารให้มีพลังงานที่เพียงพอ
มีการวอร์มอัพร่างกายก่อนที่จะเริ่มวิ่งทุกครั้ง
และจะต้องรู้ความสามารถในการวิ่งของตัวเอง หากไม่ไหวอย่าฝืนวิ่งต่อไป


สำหรับการวิ่งโครงการ “ก้าวคนละก้าว” เริ่มต้นวิ่งเมื่อวันที่
1 พ.ย. 2560 ที่จุดเริ่มต้นจาก อ. เบตง จ.ยะลา และสิ้นสุดที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ในวันที่
25 ธ.ค. 2560 รวมระยะเวลา 55 วัน ระยะทางรวม 2,191 กิโลเมตร  โดยการวิ่งในครั้งนี้ ทางทีมงานวางแผนวิ่งติดต่อกัน
4 วันพัก 1 วัน
และตั้งเป้ายอดเงินบริจาคที่ 700 ล้านบาท

รายชื่อโรงพยาบาลที่โครงการก้าวคนละก้าวจะทำการช่วยเหลือ

1.โรงพยาบาลยะลา

2.โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี

3.โรงพยาบาลราชบุรี

4.โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช อำเภอเมือง
จังหวัดสุพรรณบุรี

5.โรงพยาบาลศูนย์สระบุรี

6.โรงพยาบาลขอนแก่น

7.โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี

8.โรงพยาบาลนครพิงค์ จ.เชียงใหม่

9.โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

10.โรงพยาบาลน่าน
(ไม่ใช่โรงพยาบาลศูนย์แต่อยู่ในพื้นที่พิเศษห่างไกลจากตัวเมือง)

11.โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า .- สำนักข่าวไทย


ขอบคุณภาพจาก เพจก้าว @kaokonlakao

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ทหารกัมพูชาขุด “คูเลต” ลากยาว 650 เมตร

อุบลราชธานี 28 พ.ค.- เปิดภาพ! “คูเลต” ทหารกัมพูชาขุดลากยาว 650 เมตร จากต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว จุดปะทะทหารไทย เมื่อวันที่ 28 พ.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงาน ภายหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี หลังพบขุดคูเลต จากจุดต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว ระยะทาง 650 เมตร ซึ่งเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ โดยก่อนจะเกิดเหตุปะทะกัน ทหารไทยได้เข้าไปเจรจา เพราะเป็นการละเมิด MOU 2543 เป็นครั้งที่ 2 แต่ทางทหารกัมพูชากับยิงสวนออกมา จึงเกิดการปะทะกัน โดยช่วงนี้อยู่ระหว่างการเจรจาของผู้นำในพื้นที่ทั้งสองฝ่าย โดยฝ่ายทหารไทยยืนยันว่าให้ทหารกัมพูชา ออกจากพื้นที่อ้างสิทธิพร้อมกัน-313 .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ย้ำกัมพูชาต้องยึด MOU 43 หลังละเมิดขุดคูเลต 2 รอบ

อุบลราชธานี 28 พ.ค.- มทภ.2 ย้ำกัมพูชาต้องยึด MOU 43 หลังละเมิดขุดคูเลต 2 รอบ ทหารไทยเข้าเจรจากลับยิงสวน ลั่นปกป้องอธิปไตยตามแผนที่ 1:50,000 เต็มที่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึง เหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ว่า ในช่วงเช้าที่ผ่านมา กำลังพลของกองกำลังสุรนารีได้ลาดตระเวนและพบว่า ทหารกัมพูชาขุดคูเลต เช่นเดียวกับเนิน 745 ช่องบก ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ โดยก่อนจะเกิดเหตุปะทะกัน ทหารไทยได้เข้าไปเจรจา แต่ทางกัมพูชา ยิงสวนออกมา จึงเกิดการปะทะกัน อย่างที่เป็นข่าว สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อจากนี้ ผู้บังคับบัญชาในระดับพื้นที่กำลังพูดคุยเจรจา “ยืนยันว่าทหารไทยทำหน้าที่รักษาอธิปไตยตามแผนที่ 1:50,000 ซึ่งในพื้นที่ทับซ้อนของทั้ง 2 ประเทศ จะมีการออกลาดตระเวนอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายล้ำเข้ามา ซึ่งทุกฝ่ายต้องยึดตาม MOU 2543”.-313.-สำนักข่าวไทย

ปะทะทหารกัมพูชา

ทบ.แจงเหตุปะทะทหารกัมพูชาบริเวณช่องบก คลี่คลายแล้ว

กองทัพบก 28 พ.ค.-ทบ.แจงเหตุปะทะทหารกัมพูชาบริเวณชายแดนช่องบก จ.อุบลราชธานี ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้ว อยู่ระหว่างรอการเจรจา พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา โดยระบุว่าได้รับรายงานจาก กองกำลังสุรนารีเกี่ยวกับเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 05.30 น. โดย หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ได้รับการรายงานว่ามีทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลง ฝ่ายไทยจึงจัดชุดประสานงานเพื่อเข้าพูดคุยเจรจาตามแนวทางการปฏิบัติที่เคยกระทำมา เมื่อถึงบริเวณดังกล่าว กำลังส่วนระวังเหตุของทหารกัมพูชา ได้เข้าใจผิด และเริ่มใช้อาวุธ ฝ่ายไทยจึงใช้อาวุธตอบโต้กลับไป โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ต่อมาเวลา 05.55 น. พลตรี ทล โซะวัน รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ฝ่ายกัมพูชา ได้โทรศัพท์ประสานงานกับ พันเอก บุญเสริม บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยุติ โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงหยุดยิงและตรึงกำลังบริเวณจุดปะทะ ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี เพื่อจัดการกรณีอ้างสิทธิในพื้นที่ และกำหนดแนวทางร่วมกันในการปฏิบัติอย่างสันติ ตามข้อตกลงที่มีอยู่ […]

มติเอกฉันท์ สภาอนุมัติ “พ.ร.ก.ไซเบอร์-สินทรัพย์ดิจิทัล”

รัฐสภา 28 พ.ค.- สภาเอกฉันท์อนุมัติ “พ.ร.ก.ไซเบอร์-สินทรัพย์ดิจิทัล” ให้ธนาคารร่วมชดใช้ค่าเสียหายจาก “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” เร่งคืนเงินผู้เสียหาย ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ วาระการพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 และ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ ซึ่งแบ่งเวลาในการอภิปรายฝ่ายละ 2 ชั่วโมง รวม 4 ชั่วโมง และจะเป็นการรวมพิจารณา และแยกลงมติทีละฉบับ โดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอหลักการว่า เนื่องจากปัจจุบัน มี พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญกรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ยังมีมาตรการบังคับทางกฎหมายที่ยังไม่เพียงพอ กับรูปแบบอาชญากรรม กลุ่มมิจฉาชีพ จึงต้องแก้ไขปรับปรุงให้ทันสมัย เช่น การเร่งคืนเงินให้ผู้เสียหาย, การอาญัติบัญชีม้า, การกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของสถาบันการเงิน ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ และมาตรการการโอนเงินผิดกฎหมาย ผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล จากนั้น ได้เปิดโอกาสให้ สส.อภิปรายอย่างกว้างขวาง โดยนายจุติ […]

ข่าวแนะนำ

ทบ.แถลงการณ์ “กองทัพบกไทย-กัมพูชา” ยึด 4 ข้อแก้ปัญหาชายแดน

กองทัพบก 30 พ.ค.-ทบ.แถลงการณ์ “กองทัพบกไทย-กัมพูชา” ยึด 4 ข้อแก้ปัญหาพิพาทชายแดน ยันทหาร 2 ฝ่ายถอนกำลังจากจุดปะทะช่องบกแล้ว วอนประชาชนรับฟังข้อมูลสื่อหลัก ขอเชื่อมั่นทหารปกป้องอธิปไตยทุกตารางนิ้ว กองทัพบก ออกหนังสือแถลงการณ์ผลการเจรจาระหว่าง ผบ.ทบ.ไทย – ผบ.ทบ.กัมพูชา ในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ 1.ผู้บัญชาการทหารบกได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียกำลังพลจากเหตุการณ์ปะทะ และเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญต่อเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของทั้งสองประเทศ ที่ต้องการให้มีการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง พร้อมแสดงจุดยืนสนับสนุนการพูดคุยเจรจาด้วยสันติวิธีในการหาข้อตกลงร่วมกัน และขอยืนยันว่าจะไม่มีการรุกรานอธิปไตยหรือการหยิบยกประเด็นข้อขัดแย้งในอธิปไตยของกัมพูชาโดยเด็ดขาด การเจรจาครั้งนี้จะส่งผลดีต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ 2.กรณีข้อขัดแย้งบริเวณช่องบก กองทัพบกไทยและกัมพูชา มีความเห็นร่วมกันในการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ Joint Boundary Committee (JBC) ซึ่งเป็นกลไกในระดับรัฐบาลในการเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งผลการประชุม JBC คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในอีก 2 สัปดาห์ โดยปัจจุบันกำลังทั้งสองฝ่ายที่เคยปะทะได้ตกลงที่จะเคลื่อนออกจากพื้นที่ ถือเป็นการคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายยังมีความเห็นพ้องในการใช้กลไกคณะกรรมการร่วมมือรักษาความ สงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน หรือ Reqional Border Committee (RBC) เพื่อคลี่คลายข้อสงสัยที่อาจค้างคา และส่งเสริมกลไก JBC ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น […]

ทบ. จ่อออกแถลงการณ์ ห้ามทหารกัมพูชาเข้าใช้พื้นที่เนิน 745

กองทัพบก 30 พ.ค.-ทบ. เตรียมออกแถลงการณ์จุดปะทะช่องบก ไม่ให้ทหารกัมพูชาเข้ามาใช้พื้นที่เนิน 745 – ต้นสัตบรรณ ถึงสามแยกลาว เล็งพูดคุยจัดชุดลาดตระเวนร่วม ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ในช่วงเช้าที่ผ่านมา พิธีไถ่ชีวิตกระบือ เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพพระราชินี 3 มิ.ย. โดยในวันนี้ กองทัพบกเตรียมออกแถลงการณ์ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อย่างเป็นทางการ ภายหลังวานนี้ (29 พ.ค.) พล.อ.พนา ได้หารือกับ พลเอก เมา โซะพัน ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา และคณะฝ่ายกัมพูชา ในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดน กรณีเกิดเหตุปะทะช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี จนได้ข้อสรุป 3 ข้อ 1.กรณีข้อขัดแย้งบริเวณช่องบก กองทัพบกไทย และกัมพูชา มีความเห็นร่วมกันในการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ Joint Boundary Committee (JBC) ซึ่งเป็นกลไกในระดับรัฐบาลในการเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งผลการประชุม JBC คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในอีก 2 สัปดาห์ 2.ปัจจุบันกำลังทั้งสองฝ่ายที่เคยปะทะได้เคลื่อนออกจากพื้นที่แล้ว คลี่คลายความตึงเครียด […]

“ชัยชนะ” บอกไม่ทราบ ข่าว สส.ดังนครศรีฯ ยกพวกรุมทำร้ายผู้รับเหมา

กทม. 30 พ.ค.-“ชัยชนะ” บอกไม่ทราบ-ไม่รู้ ข่าว สส.ดัง จ.นครศรีธรรมราช ยกพวกรุมทำร้ายผู้รับเหมากลางงานบวช ยืนยันไม่เป็นความจริง นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าว สส.ชื่อดัง จ.นครศรีธรรมราช ยกพวกรุมทำร้ายผู้รับเหมา กลางงานบวชลูกชายของนายก อบต. ต่อหน้าชาวบ้านนับร้อยคน โดยนายชัยชนะ ได้ปฏิเสธข่าวบอก ไม่รู้ ไม่ทราบข่าว พร้อมบอกผู้สื่อข่าวว่า ต้องไปถามที่มาของข่าว เมื่อถามว่า เป็นคนรู้จัก หรือคนใกล้ชิดหรือไม่ นายชัยชนะ ระบุว่า ตนไม่ทราบเหมือนกัน เพราะตอนนี้ยังไม่ทราบข่าวเลย ก่อนย้ำอีกครั้งว่า ต้องไปถามที่มาของข่าว เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่ นายชัยชนะ ตอบว่า “ครับผม” เมื่อถามว่า ไม่ได้เข้าไปในพื้นที่เลยใช่หรือไม่ นายชัยชนะ ระบุว่า ตนลงพื้นที่วันละหลายงาน และเมื่อถามทิ้งท้ายว่า ไม่มีเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทใช่หรือไม่ นายชัยชนะ ยืนยันว่า “ไม่มี“.-315.-สำนักข่าวไทย

ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้มาตรการภาษี ‘ทรัมป์’ ยังบังคับใช้

วอชิงตัน 30 พ.ค. – ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางมีคำสั่งในวันพฤหัสบดี ให้มาตรการภาษีตอบโต้ที่ครอบคลุมมากที่สุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมามีผลบังคับใช้อีกครั้งเป็นการชั่วคราว เพียงหนึ่งวันหลังจากที่ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ ตัดสินว่านายทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตในการเรียกเก็บภาษีเหล่านั้นและสั่งให้ระงับมาตรการภาษีดังกล่าวทันที ศาลอุทธรณ์กลางแห่งสหรัฐอเมริกา ประจำเขตวอชิงตัน ระบุว่ากำลังระงับคำตัดสินของศาลชั้นต้นไว้ชั่วคราว เพื่อพิจารณาคำอุทธรณ์ของรัฐบาล และมีคำสั่งให้ฝ่ายโจทก์ที่ยื่นฟ้องหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีในคดีนี้ยื่นเอกสารตอบกลับภายในวันที่ 5 มิถุนายน และให้ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งเป็นฝ่ายที่ถูกฟ้องร้องหรือเป็นผู้กำหนดภาษี ให้ส่งเอกสารตอบกลับภายในวันที่ 9 มิถุนายน นายทรัมป์เขียนแถลงการณ์ที่เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ว่า เขาหวังว่าศาลฎีกาของสหรัฐจะ ‘กลับคำตัดสินอันเลวร้ายที่คุกคามประเทศ’ ของศาลการค้าระหว่างประเทศ พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายตุลาการของรัฐบาลว่า ‘เป็นปฏิปักษ์ต่ออเมริกา’ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา คณะผู้พิพากษา 3 คนของศาลการค้าระหว่างประเทศ ตัดสินว่ารัฐธรรมนูญให้อำนาจแก่รัฐสภา ไม่ใช่ประธานาธิบดี ในการเรียกเก็บภาษีและอากรศุลกากร และประธานาธิบดีได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตโดยการอ้างใช้กฎหมายว่าด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (International Emergency Economic Powers Act) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งหมายเพื่อรับมือกับภัยคุกคามในสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ.-813.-สำนักข่าวไทย