กรุงเทพฯ 24 ต.ค.- บมจ.ไทยออยล์คาดกลุ่มโอเปกขยายระยะเวลาลดกำลังผลิตต่อหลังสิ้นสุด 31 มี.ค.61 และคาดราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับ 50-60 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลต่อเนื่องอีก 2 ปี ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันยังพุ่งสูงขึ้น และกำไรธุรกิจการกลั่นอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะอยู่ในระดับ 50-60 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ไปอีก 2 ปี เนื่องจากคาดว่ากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก (โอเปก ) น่าจะพอใจราคาน้ำมันระดับนี้ เนื่องจากเป็นราคาที่ผู้บริโภครับได้ ยอดใช้น้ำมันยังคงขยายตัวได้ดี แต่หากราคาสูงเกินไปอาจมีผลให้ปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนมากขึ้นและอาจส่งผลให้สหรัฐผลิตน้ำมันจากชั้นหินดิน (เชลล์ออยล์) ดังนั้น จึงคาดว่าการประชุมกลุ่มโอเปกวันที่ 30 พศจิกายนนี้อาจจะมีข้อตกลงสำคัญในความร่วมมือกับกลุ่มนอกโอเปกขยายเวลาลดกำลังผลิตต่อเนื่องไปอีกจากที่มีข้อตกลงลดกำลังร่วมกัน 1.8 ล้านบาร์เรล/วัน สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2561
“ปีหน้าซาอุดิอรามโก้มีแผนจะกระจายหุ้นนับเป็นดีลที่ใหญ่มาก ดังนั้น เชื่อว่าประเทศซาอุดีอาระเบียน่าจะพอใจราคาน้ำมันระดับปัจจุบัน หรือ 50-60 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และจะเป็นแรงผลักดันให้มีข้อตกลงขยายเวลาลดกำลังผลิตน้ำมันต่อไป” นายอธิคม กล่าว
สำหรับราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวระดับประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล นับเป็นระดับที่ดี เพราะทำให้ความต้องการใช้เติบโต ซึ่งด้านผู้ประกอบการโรงกลั่นก็จะมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง ทั้งในส่วนของต้นทุนน้ำมันดิบที่เข้าสู่โรงกลั่น รวมถึงต้นทุนการสำรองน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปตามกฎหมายที่ปัจจุบันบริษัทมีการสำรองเฉลี่ยประมาณ 8-10 ล้านบาร์เรล ขณะที่กำไรหรือมาร์จิ้นดีขึ้นจากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น โดยความต้องการใช้น้ำมันของไทยช่วงครึ่งแรกของปีนี้โตมากกว่าร้อยละ 3 โดยน้ำมันเครื่องบิน นับว่ามีอัตราเติบโตโดดเด่นถึงร้อยละ 4.4 รองลงมาเป็นน้ำมันเบนซินเติบโตร้อยละ 3.7-3.8 และดีเซล เติบโตประมาณร้อยละ 2 จากราคาน้ำมันที่อยู่ระดับต่ำและเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น
นายอธิคม กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2560 จะอยู่ในระดับที่ดี คาดว่ามีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) ซึ่งไม่รวมผลกระทบจากสตอกน้ำมันอยู่ที่ระดับ 10.2 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากระดับ 8.3 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 2/2560 ส่วนใหญ่เป็นผลจากธุรกิจโรงกลั่นที่ดีโดยมีค่าการกลั่น (GRM) ที่ไม่รวมผลกระทบจากสตอกน้ำมันอยู่ที่ระดับ 8.1 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล จากระดับ 6.1 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 2/2560 ขณะที่ส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี หลังโรงงานพาราไซลีน (PX) ของอินเดียที่เพิ่งเปิดดำเนินงานระยะที่ 2 ยังเดินเครื่องไม่ได้เต็มที่มากนัก
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบสิ้นไตรมาส 3/2560 ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยของเดือนกันยายนอยู่ที่ 53.7 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่าราคาปิดสิ้นไตรมาส 2/2560 ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยของเดือนมิถุนายนที่ 46.5 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำให้คาดว่าไตรมาส 3/2560 จะมีกำไรจากสตอกน้ำมันกว่า 2,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2560 ที่มีขาดทุนจากสตอกน้ำมันประมาณ 2,000 ล้านบาท ขณะที่การใช้กำลังการกลั่นใกล้เคียงกับในไตรมาส 2/2560 ที่อยู่ระดับร้อยละ 112 และการใช้กำลังการผลิตของโรงงานอะโรเมติกส์ อยู่ในระดับร้อยละ 80 ใกล้เคียงกับไตรมาส 2/2560
สำหรับไตรมาส 4/2560 คาดว่าธุรกิจอะโรเมติกส์จะเริ่มเห็นแรงกดดันด้านราคาหลังโรงงานพาราไซลีนของโรงงงานรีไลแอนซ์ ประเทศอินเดีย ที่น่าจะเริ่มเดินเครื่องผลิตได้เต็มที่ เริ่มสังเกตได้จากสเปรดผลิตภัณฑ์พาราไซลีนในไตรมาส 3/2560 อ่อนตัวลงมาเล็กน้อยที่ 270 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน และสเปรดผลิตภัณฑ์เบนซีนอยู่ที่ประมาณ 200 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน แต่ความต้องการใช้ยังเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่อยู่ประมาณ 1 เท่า ส่วนด้านโรงกลั่นน้ำมันนั้นในไตรมาส 4 นับเป็นไตรมาสที่ดีของธุรกิจโรงกลั่น เพราะเข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยวและฤดูหนาว ทำให้มีความต้องการใช้น้ำมันมากขึ้น เบื้องต้นมองว่าราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 4/2560 น่าจะอยู่ในระดับกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลได้
“การเจริญเติบโตของโรงกลั่นน้ำมัน capacity ใหญ่ ๆ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางและจีน มีจุด peak เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว หลังจากนั้นการเพิ่มขึ้นของโรงกลั่นน้ำมันมีน้อยมาก แต่ในทางกลับกันราคาน้ำมันที่ต่ำทำให้ดีมานด์เพิ่มขึ้น คาดจะอยู่ในเกณฑ์อีก 2 ปีข้างหน้าและเราก็ไม่คิดว่ารถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV จะเข้ามาเร็ว จึงคาดใน 2 ปีข้างหน้าก็จะเป็นปีที่ enjoy โดย GRM จะยืนสูงไปได้อีก 2 ปี ถ้าถามไทยออยล์มี cash cost อยู่ที่ 1.9 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล อะไรที่สูงกว่านี้ก็แปลว่าส่วนต่างเหล่านี้เป็นกำไร” นายอธิคม กล่าว
นายอธิคม คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานปีนี้จะทำระดับสูงสุดใหม่ จากปีที่แล้วที่มีกำไรจากการดำเนินงาน 1.38 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้สามารถทำได้แล้ว 9.4 พันล้านบาท ขณะที่กำไรจากสตอกน้ำมันปีนี้คาดว่าจะไม่มากเหมือนปีก่อนที่สูงถึง 7.18 พันล้านบาท ซึ่งผลักดันให้กำไรสุทธิทั้งปี 2559 อยู่ที่ระดับ 2.12 หมื่นล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันดิบล่าสุดอยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับปิดที่ 52.1 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลในสิ้นปี 2559.-สำนักข่าวไทย