นนทบุรี 22 ก.ย. – กระทรวงพาณิชย์เปิดโอกาสนักวิจัยคิดค้นนวัตกรรมพัฒนาผลิตภัณฑ์การเกษตรและอาหาร โดยผลงาน “น้ำซ่าจากเปลือกกาแฟ” ใช้นวัตกรรมแปลงขยะเปลือกกาแฟเป็นเครื่องดื่มน้ำอัดลม ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศ ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดเชิงพาณิชย์
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาจัดประกวดภายใต้โครงการเสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมด้วยทรัพย์สินทางปัญญาระดับภูมิภาค เพื่อสรรหานวัตกรรมทั่วประเทศ ซึ่งมีนักคิด นักวิจัย ผู้ประกอบการ ตลอดจนนักศึกษาส่งแนวคิดและสิ่งประดิษฐ์เข้าร่วมประกวด 76 ผลงาน พร้อมเข้าร่วมกิจกรรมให้ความรู้ คำปรึกษา และ Workshop สืบค้นข้อมูลนวัตกรรม และเทคโนโลยี จนเหลือเพียง 30 ผลงาน นวัตกรรมโดดเด่นผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้นำมาจัดแสดงภายในงานด้วย
ทั้งนี้ ผลงาน “น้ำซ่าจากเปลือกกาแฟ” นวัตกรรมเครื่องดื่มน้ำอัดลมจากเปลือกเมล็ดกาแฟ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรสามารถใช้ขยะที่เกิดจากเปลือกกาแฟมาสร้างรายได้ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์การเกษตรและอาหาร (ระดับประเทศ) โดยนวัตกรรมที่ผ่านเข้ารอบทั้งหมดจะได้รับการสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดเชิงพาณิชย์และพัฒนาสู่การเป็นนวัตกรรมที่ได้รับการคุ้มครอง ซึ่งถือเป็นการดำเนินตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการพัฒนากลุ่มสินค้าเกษตรและอาหารที่ไทยมีศักยภาพให้สามารถต่อยอดเป็นประเทศมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจการเกษตร โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างหาแนวทางจัดตั้งกองทุน เพื่อให้เกิดการคิดค้นนวัตกรรม โดยหาผู้ลงทุนเพื่อให้เกิดการคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ มาเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่งขัน
สำหรับผลการประกวดนวัตกรรมที่คว้ารางวัลชนะเลิศ “น้ำซ่าจากเปลือกกาแฟ” ได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ “แผ่นมาร์คหน้าโปรตีนไหม” ใช้นวัตกรรมนำเส้นไหมที่เหลือทิ้งจากการปั่นไหมมาทำให้เกิดประโยชน์และสร้างรายได้ โดยได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท ขณะที่รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ “พุธกันยามาการอง” ใช้นวัตกรรมนำความหวานจากผลไม้และสมุนไพรไทยมาทำขนมมาการอง เพื่อสุขภาพของผู้บริโภค โดยไม่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสมได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท และรางวัลชมเชย 2 รางวัล ได้แก่ ผลิตภัณฑ์รองรับของเสียจากทวารเทียมประดิษฐ์ด้วยยางพารา และนวัตกรรมยืดอายุการเก็บรักษาขนมหม้อแกง ได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย