กรมสุขภาพจิต17 ก.ย. แพทย์เตือนผู้ที่ “เบลอ วูบบ่อยๆ ”ควรรีบพบแพทย์ ชี้อาจเป็นโรคลมชัก
กรมสุขภาพจิต ย้ำเตือนประชาชนทุกเพศทุกวัยที่มีอาการเบลอ เหม่อลอย ตาค้าง วูบบ่อยๆ อย่าชะล่าใจ ควรรีบพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ชี้อาจไม่ใช่เป็นลมธรรมดา แต่อาจเป็นโรคลมชักหรือลมบ้าหมูประเภทที่ไม่มีอาการชักเกร็ง เป็นภัยเงียบใกล้ตัวไม่ควรมองข้าม เผยขณะนี้ทั่วประเทศมีคนไทยป่วยโรคนี้ 650,000 คน แต่เข้ารักษาน้อยเพียง 1 ใน 10 ชี้โรคนี้รักษาหายขาดได้ หากพบแพทย์ตั้งแต่เริ่มเป็นครั้งแรก หากไม่รักษาและปล่อยให้มีอาการบ่อยๆ จะเป็นตัวเร่งป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมไวขึ้น และอาจป่วยเป็นโรคทางจิตเวชซ้ำซ้อนตามมา พบได้ร้อยละ 30
นายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับโรคลมชัก( Epilepsy ) ว่า โรคนี้คนไทยเรียกว่าลมบ้าหมู จัดเป็นโรคของการเจ็บป่วยทางสมอง พบได้ทุกเพศทุกวัย นอกจากพบในผู้ป่วยที่มีบกพร่องทางสติปัญญา โรคออทิสติกแล้ว ยังสามารถเกิดขึ้นกับทุกคนที่มีร่างกายแข็งแรง สาเหตุเกิดจากเซลล์สมองที่มีนับล้านเซลล์ซึ่งทำงานเชื่อมโยงกันเหมือนวงจรไฟฟ้า ปล่อยคลื่นไฟฟ้าออกมาผิดปกติพร้อมกันอย่างเฉียบพลัน ทำให้การควบคุมการทำงานของสมองเสียไปชั่วคราว โรคนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุทั้งจากกรรมพันธุ์ ติดเชื้อในสมอง สมองขาดอ๊อกซิเจน ดื่มสุรา จากอุบัติเหตุทำให้เกิดแผลเป็นในสมอง หรือเซลล์สมองอยู่ผิดที่ หรือมีเนื้องอกในสมอง ทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 50 ล้านคน โดย 2 ใน 3 อยู่ในทวีปเอเชีย ส่วนในประเทศไทยคาดการณ์ว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคนี้ร้อยละ 1 หรือมีประมาณ 650,000 คน ทั่วประเทศ แต่สถิติการเข้ารับการรักษาพบว่ามีน้อยประมาณร้อยละ 10 เช่นในปี 2558 มีผู้เข้ารับการรักษาจำนวน 79,385 คน เป็นชาย 49,100 คน หญิง 30,285 คน
“สาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยโรคลมชักเข้ารับการรักษาน้อย ส่วนหนึ่งเกิดมาจากความเชื่อว่าเป็นโรคที่เกิดจากไสยศาสตร์ และเกิดมาจากการขาดความเข้าใจในเรื่องของอาการซึ่งมี2 ลักษณะอาการใหญ่ๆ คือชักกระตุกเกร็งไปทั้งตัวคล้ายกับลมบ้าหมู การชักแบบนี้จะเห็นได้ชัดเจน คนไทยส่วนใหญ่จะคุ้นเคยและรู้จักว่าโรคลมบ้าหมู แต่อาการอีกลักษณะหนึ่งที่พบบ่อยทึ่สุดขณะนี้คือ อยู่ดีๆก็มีอาการแบบเบลอๆ เหม่อลอย ไม่รู้สึกตัวหรือที่เรียกว่าอาการวูบไปชั่วขณะ อาจมีตาค้างหรือตาเหลือกด้วยก็ได้ ส่วนมากมักพบในเด็กอายุ 6-14 ปี อาการของโรคลมชักชนิดนี้ คนไทยยังรู้จักน้อยมาก และมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นอาการวูบหรือเป็นลมทั่วไป จึงไม่ไปรักษา อย่างไรก็ตามอาการชักที่เกิดจากคลื่นไฟฟ้าสมองผิดปกตินี้อาจปรากฏแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าเกิดขึ้นที่สมองส่วนใด เช่นหากเป็นที่เป็นที่สมองส่วนควบคุมกล้ามเนื้อ ก็อาจเกิดการกระตุกเกร็งแขนขาซีกเดียวก็ได้ ” นายแพทย์พงศ์เกษมกล่าว
จึงขอให้ประชาชนที่มีอาการที่กล่าวมาทั้ง 2 ชนิดอาการ อย่านิ่งนอนใจ ควรรีบพบแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของการชักให้เร็วที่สุดและให้การรักษาตามสาเหตุ เช่น หากอาการชักเกิดจากคลื่นสมองผิดปกติทั่วไป จะให้การรักษาด้วยยาเพื่อควบคุมอาการชัก โดยปรับกระแสไฟฟ้าในสมองให้กลับมาทำงานเป็นปกติ ป้องกันเซลล์สมองถูกทำลาย หากเกิดจากเนื้องอกในสมองก็อาจใช้วิธีการผ่าตัดเอาก้อนเนื้อออก เป็นต้น หากผู้ที่มีอาการชักได้รับการรักษาเร็ว โดยเฉพาะหลังจากมีอาการครั้งแรก จะมีโอกาสหายขาดได้สูง สามารถเรียนหนังสือ หรือทำงานที่เหมาะสมได้ แต่หากไม่รักษาก็จะมีอาการชักปรากฏบ่อย บางรายอาจเกิดเป็นชุดๆหรือเกิดตลอดวันก็ได้ จะมีผลเสียที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะการชักแบบลมบ้าหมู อาจทำให้เซลล์สมองตาย และทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนี้อาจทำให้เกิดโรคทางจิตเวชตามมาได้ประมาณร้อยละ 30 ถือเป็นภัยเงียบใกล้ตัวประชาชนที่ไม่ควรมองข้าม
นายแพทย์พงศ์เกษมกล่าวต่อไปว่า ในการรักษาโรคลมชักนั้น ผู้ป่วยจะต้องยึดหลักปฏิบัติย่างเคร่งครัดคือกินยาต่อเนื่อง อย่าหยุดยาเอง และไม่ลดจำนวนยาเอง ต้องใช้เวลารักษาไม่ต่ำกว่า 2 ปี จึงจะควบคุมอาการชักได้ผลดี โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาปรับลดหรือหยุดยาเอง ผู้ป่วยประมาณกว่าร้อยละ 70 จะมีโอกาสหายขาด อีกร้อยละ 30 มีอาการดีขึ้น แม้ไม่หายชักทั้งหมดก็ตาม ” ที่ผ่านมาผู้ป่วยโรคลมชัก มักจะไม่กินยาตามแผนการรักษาของแพทย์ เพราะเข้าใจผิดว่ายาจะไปกดการทำงานของสมอง ทำให้โง่ ซึ่งข้อเท็จจริงนั้นยาบางชนิดอาจทำให้ผู้ป่วยคิดช้า หรือมีอาการเซื่องซึมในระยะต้นๆเมื่อเริ่มกินยาเท่านั้น การกินยาต่อเนื่อง จะทำให้การรักษาได้ผล และสามารถป้องกันการเกิดอาการแทรกซ้อนทางจิตเวชได้ด้วย” นายแพทย์พงศ์เกษมกล่าว
อย่างไรก็ดีผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชัก จะมีความเสี่ยงเสียชีวิตได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป 2-3 เท่าตัว โดยเฉพาะในช่วงที่มีการชัก ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงฤดูฝน มีความเสี่ยงเสียชีวิตจากการจมน้ำ ซึ่งมีโอกาสเกิดในน้ำตื้นๆก็ได้ ดังนั้นจึงขอให้ผู้ป่วยโรคลมชักหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำ สำหรับการช่วยเหลือผู้ที่กำลังมีอาการชัก ประชาชนที่พบเห็นขอให้ตั้งสติให้ดี ระวังไม่ให้ผู้ป่วยสำลักน้ำลายหรืออาหาร โดยให้จับศีรษะและลำตัวตะแคงไปด้านข้าง และดูแลไม่ให้มีสิ่งของที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วย เช่น กาน้ำร้อน หรืออุปกรณ์ต่างๆที่เป็นของแข็ง เพื่อไม่ให้แขนขาของผู้ป่วยมากระแทก หากเป็นไปได้ ให้บันทึกภาพเคลื่อนไหวของอาการชักที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปให้แพทย์วินิจฉัย จะช่วยให้การรักษาแม่นยำ.-สำนักข่าวไทย