กรุงเทพฯ 7 ก.ย.-วันนี้ กองทัพภาคที่ 1 ซักซ้อมพลฉุดชักราชรถประกอบการเคลื่อนริ้วขบวนพระราชอิสริยยศในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในริ้วขบวนที่ 1-3 เสมือนจริง เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนซ้อมใหญ่
กำลังพลกรมสรรพาวุธทหารบกกว่า 500 นาย ทำท่าถวายบังคมอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งถือเป็นกระบวนท่าที่สำคัญ ก่อนจะเริ่มฉุดชักราชรถ ราชยาน และเกรินบันไดนาค ในริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศที่ 1-3 ประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
การฝึกซ้อมครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฝึกภายในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ซึ่งมีพื้นที่กว้างคล้ายสถานที่จริง โดยช่วงเช้ามีฝนตกลงมาอย่างหนักสลับกับแดดแรง แต่กำลังพลทุกนายต่างมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ ทนแดดฝน และทำหน้าที่อย่างดีที่สุดทุกขั้นตอน เพื่อเคลื่อนริ้วขบวนให้งดงามที่สุด
ริ้วที่หนึ่ง ได้ซ้อมเชิญพระโกศทองใหญ่จำลอง โดยพระยานมาศสามลำคาน ที่จะออกจากประตูเทวาภิรมย์ไปยังหน้าพลับพลายก หน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม โดยพระยานมาศสามลำคานจะไปเทียบที่เกรินบันไดนาคพระมหาพิชัยราชรถ เข้าสู่ริ้วที่สอง เชิญพระโกศทองใหญ่ด้วยพระมหาพิชัยราชรถ จากหน้าพลับพลายก ไปยังถนนกลาง ท้องสนามหลวง จากนั้นเชิญพระโกศทองใหญ่ลงจากพระมหาพิชัยราชรถโดยเกรินบันไดนาค และเข้าสู่ริ้วที่ 3 เชิญพระโกศทองใหญ่ขึ้นพระราชรถปืนใหญ่เพื่อเวียนอุตราวัฏรอบ
พระเมรุมาศ 3 รอบ เเละเทียบที่เกรินพระเมรุมาศเพื่อเชิญพระโกศทองใหญ่ไปประดิษฐานที่พระเมรุมาศ ซึ่งการซ้อมเป็นไปอย่างเรียบร้อย สวยงาม ทั้งนี้ ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศมีทั้งสิ้น 6 ขบวน วันนี้ซ้อมเพียง 3 ขบวน ส่วนริ้วขบวนที่ 4 เป็นขบวนที่เกิดขึ้นหลังพระราชพิธีถวายพระเพลิง เชิญพระบรมอัฐิเเละพระบรมราชสรีรางคารด้วยพระที่นั่งราเชนทรยานเเละราเชนทรยานน้อย เข้าสู่พระบรมมหาราชวัง ริ้วที่5 เชิญพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐาน ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และริ้วที่ 6 เชิญพระบรมราชสรีรางคารไปประดิษฐานใต้ฐานพระประธาน ที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เเละวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร
การฝึกซ้อมพลฉุดชักเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา โดยวันที่ 21 กันยายนนี้ จะมีการซ้อมริ้วขบวนพระราชอิสริยยศเสมือนจริงในพื้นที่และห้วงเวลาคล้ายจริง ก่อนจะซ้อมใหญ่ครั้งสุดท้ายในสถานที่จริงวันที่ 21 ตุลาคมนี้ ซึ่งกำลังพลทุกนายต่างตั้งใจฝึกซ้อม เพื่อให้งานพระราชพิธีสง่างามและสมพระเกียรติที่สุด.-สำนักข่าวไทย