กรุงเทพฯ 31 ส.ค.- ศาลฎีกาชี้ชะตา “อภิสิทธิ์-สุเทพ” คดีอัยการฟ้องฆ่าผู้อื่น เหตุสั่งสลายม็อบ นปช.ปี 53
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เข้าฟังคำสั่งศาลฎีกา คดีสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เมื่อปี 2553 ฐานร่วมกันก่อให้เกิดการฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่น
นายสุเทพ กล่าวว่า คดีนี้เกิดขึ้นสมัยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้สั่งฟ้องคดี เนื่องจากเห็นว่ามีการใช้อาวุธสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ด้วย เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ ได้มอบหมายให้เป็นผู้อำนวยศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน ในการตัดสินใจสั่งการให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตาม และการแก้ไขปัญหาก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
ซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ ได้มีคำสั่งยกฟ้องไม่รับสำนวนไว้พิจารณา เนื่องจากเป็นอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ทำให้เมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ แกนนำนปช. ได้ยื่นคำร้องถึง ป.ป.ช. ให้นำคดีนี้พิจารณาขึ้นมาใหม่ หลังจากคณะกรรมการได้ตีตกไป พร้อมนำคำพิพากษาคดีสลายชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรปี 2551 ที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาไปก่อนหน้านี้มาเป็นพยานหลักฐานใหม่ ทำให้เชื่อว่า นายณัฐวุฒิ จ้องเล่นงานตัวเองอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร และได้อโหสิกรรมไปแล้ว
ส่วนกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ขึ้นทวิตเตอร์ว่าไม่มีความเลวร้ายใดที่ยิ่งไปกว่าความเลวร้ายที่ได้กระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายหรือในนามของกระบวนการยุติธรรม ก็เห็นว่า ไม่มีอะไรเลวร้ายกว่ารัฐบาลที่อ้างประชาชนและใช้อำนาจหน้าที่ทำร้ายประเทศชาติและประชาชน พร้อมปฏิเสธตอบคำถามกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่มาฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าว โดยระบุเพียงว่า ให้ไปหาตัวให้ได้ก่อน.-สำนักข่าวไทย